นายตัน เล เยน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ IFS เปิดเผยว่าเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน120 ล้านหุ้น ประมาณปลายเดือนกรกฎาคมนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในเดือนสิงหาคม 2553
ทั้งนี้หุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) มีจำนวน120 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 25.53 ของจำนวนหุ้นที่เรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ (ณ เดือนธันวาคม 2552 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 470 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 470 ล้านหุ้นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยมีทุนชำระแล้ว 350 ล้านบาท)
“ในปัจจุบันถือเป็นจังหวะที่ลงตัวทั้งความพร้อมของบริษัทฯ และสภาพของตลาดทุน และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางด้านการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศไทย จึงได้ตัดสินใจที่จะระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนและเข้าจดทะเบียนได้ประมาณในปลาย กรกฎาคม - ต้นสิงหาคม นี้”
เงินทุนที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้ IFS มีแผนที่จะนำไปใช้ในการขยายการให้บริการและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัท เพราะเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพ เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายถึงธุรกิจของ IFS ที่ยังสามารถขยายตัวได้อีกมากเช่นกัน ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสทางธุรกิจของ IFS ที่จะระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อนำมาขยายธุรกิจให้มีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องทุกปี และมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งทางด้านเงินทุนรองรับควบคู่กันไป
สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต IFS มีแผนจะเปิดสาขาในต่างจังหวัดเนื่องจากมีผู้ประกอบการในหลายพื้นที่ ที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี โดยการเปิดสาขา เพื่อครอบคลุมพื้นที่การให้บริการสินเชื่อ และเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ทั้งนี้ จะพิจารณาควบคู่ไปกับสภาวะเศรษฐกิจ โดยบริษัทมีโครงการที่จะเปิดสาขาในภาคตะวันออก ภาคกลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1 ล้านบาทต่อสาขา
IFS เป็นบริษัทลูกของ IFS (Singapore) ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงค์โปร์ ทั้งนี้ กลุ่ม IFS (Singapore) มีความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจแฟคตอริ่ง มีการดําเนินธุรกิจในหลายประเทศได?แก? สิงคโปร? ไทย มาเลเซี ย อินโดนีเซีย และฮ?องกง โดย IFS มีต้นทุนทางการเงินที่สามารถแข่งขันได้ มีอัตราหนี้เสียต่ำ และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ในเกณฑ์ดี
สำหรับผลประกอบการสุทธิของ IFS ในปี 2550 2551 และ 2552 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 50.48 ล้านบาท 71.13 ล้านบาทและ 71.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้นตามลำดับ
ทั้งนี้ ในปี 2551 บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.91 เทียบกับปี 2550 ที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทมีรายได้มากขึ้นและการบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทได้ตระหนักถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างเหมาะสม โดยพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนปี 2552 แม้จะมีวิกฤติทางการเงินแต่ก็สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 71.29 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากปี 2551 ร้อยละ 0.22
บริษัท ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ตั้งมานานกว่า 19 ปีประกอบธุรกิจหลักในการให้บริการสินเชื่อแฟคเตอริ่งซึ่งเป็นสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการ ที่สามารถนำลูกหนี้การค้าที่เกิดจากการขายเชื่อมาใช้ในการใช้สินเชื่อกับ IFS ได้ ทั้งผู้ประกอบการที่จำหน่ายสินค้าในประเทศและส่งออกเนื่องจาก IFS เป็นสมาชิกของ International Factors Group ซึ่งเป็นเครือข่ายแฟคตอริ่งที่มีสมาชิกกว่า 152 บริษัท อยู่ในประเทศต่างๆมากกว่า 55 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังมี สินเชื่อลีสซิ่งประเภทสัญญาเช่าทางการเงิน และสินเชื่อเช่าซื้อ ที่สามารถเป็นแหล่งเงินสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจและมีการลงทุนในเครื่องจักร หรือยานพาหนะ นอกจากนี้ IFS ยังมีสินเชื่อประเภทอื่นๆ โดยบริษัทมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าในทุกภาคธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนหรือเงินลงทุน ในทุกภาคธุรกิจ เช่น อุตสาหกรรม พาณิชย์ หรือบริการ เช่น ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร เครื่องดื่ม ยา กระดาษและบรรจุภัณฑ์ ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์ การบริการ เช่น จัดหางาน รักษาความปลอดภัย บันเทิงและนันทนาการ
ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ : IR network
คุณณัฐสินี ระเบียบนาวีนุรักษ์ (เก๋) e-mail : [email protected]
คุณณัฐพงษ์ ใจแกล้ว (มิกซ์) e-mail : [email protected]