นายบรรพต ก่อเกียรติเจริญ ประธานหอการค้าจังหวัดตาก เปิดเผยว่า การค้าชายแดนไทย-พม่า ช่วง 5 ปีหลังมีอัตราการเจริญเติบโตมากขึ้น โดยในปี 2533 จะมีมูลค่าการค้าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิม 30% เชื่อว่าหลังสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 ก่อสร้างเสร็จ การค้าจะคึกคักมากยิ่งขึ้น รัฐบาลจึงควรเร่งจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมารองรับ ทำให้จังหวัดตากเป็นสี่แยกอินโดจีนเต็มรูปแบบ เชื่อมโยงกับการค้าชายแดนด้านลาว เขมร และมาเลเซีย รวมทั้งควรให้มีการจัดตั้งเขตประกอบการอุตสาหกรรมปลอดภาระภาษีขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย
นายปณิธิ ตั้งผาติ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารหอการค้าจังหวัดตาก กล่าวว่า เหตุที่ต้องผลักดันให้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้น เพราะจะสามารถคอยกักเก็บสินค้าจากพม่าเข้ามายังไทย โดยเฉพาะสินค้าการเกษตร เช่น ผัก ผลไม้ และข้าวโพด เพื่อไม่ให้สินค้าเหล่านั้นมาปะปนกับสินค้าเกษตรของไทย จากนั้นก็สามารถส่งออกไปยังประเทศที่ 3 ได้ เป็นการขจัดปัญหาผลกระทบต่อเกษตรกรไทยเหมือนอย่างที่ผ่านมา ทั้งยังช่วยบรรเทาเรื่องแรงงานพม่าหลบหนีเข้าประเทศ โดยให้แรงงานพม่าทำงานในพื้นที่เขตเศรษฐกิจทดแทน หรือในเรื่องของสิ่งแวดล้อม และแม้แต่ปัญหาระบบภาษี ซึ่งพื้นที่นี้จะถือเป็น Gate way ของทั่วโลก
ด้าน นายประเสริฐ จึงกิจรุ่งโรจน์ เลขาธิการหอการค้าจังหวัดตาก กล่าวว่า ภาคเอกชนได้เสนอให้กฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยการตัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ.2496 และ พ.ร.บ.องค์การมหาชน พ.ศ.2542 ซึ่งรัฐบาลสามารถเลือกมาดำเนินการบริการเขตเศรษฐกิจพิเศษได้ แต่ภาคเอกชนมองว่าการนำ พ.ร.บ. จัดตั้งองค์การของรัฐบาล พ.ศ.2496 น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะเป็นการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาบริหารงานเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนจนไม่เป็นเอกภาพและไร้ประสิทธิภาพ นอกจากนี้สามารถลงทุนหรือดำเนินการในกิจการที่แสวงหาผลกำไรได้ด้วย ในขณะที่ พ.ร.บ.องค์การมหาชน พ.ศ.2542 ไม่สามารถกระทำได้
นอกจากนี้ยังเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งเขตประกอบการอุตสาหกรรมปลอดภาระภาษี โดยนำ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2520 และพ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาใช้ประกอบกันในการจัดตั้ง หรืออีกแนวทางหนึ่งคือ การนำพระราชบัญญัตินิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2522 มาใช้ ทั้งนี้แล้วแต่รัฐบาลจะพิจารณาตามความเหมาะสม