นาย ตัน เล เยน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ IFS เปิดเผยว่าบริษัทจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 120 ล้านหุ้น โดยกำหนดราคาเสนอขายที่ 1.35 บาท/หุ้น และจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 30 กรกฎาคม 2553 และวันที่ 2-3 สิงหาคม 2553 พร้อมกันนี้คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ วันที่ 10 สิงหาคมนี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "IFS"
ทั้งนี้ บริษัทได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนร่วมกัน โดยมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 แห่ง คือ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็กจำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ ไอวี โกลบอล จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด
“มั่นใจว่าเปิดให้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ IFS ที่นำออกมาจำหน่ายทั้งหมด 120 ล้านหุ้น จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก เพราะ IFS มีจุดแข็งในหลายด้านไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์การทำงานของทีมงานที่มีมานานกว่า 19 ปี มีความเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้าและสามารถสนองตอบความต้องการนั้นได้ ที่สำคัญเรามีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่แข็งแกร่งก็คือ IFS (Singapore) ซึ่งพร้อมที่จะให้การสนับสนุนเพื่อให้การดำเนินธุรกิจเจริญก้าวหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง ประการสำคัญโดยปัจจัยพื้นฐานของ IFS เองก็มีความแข็งแกร่งอย่างมาก ผลประกอบการของ IFS มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง และมีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่จูงใจสำหรับผู้ถือหุ้นทุกปี”
นายตัน เล เยน กล่าวต่อว่าเงินทุนที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ มีแผนที่จะนำไปใช้ในการขยายการให้บริการและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัท เพราะเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพ เนื่องจากเศรษฐกิจยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายถึงธุรกิจของ IFS ที่ยังสามารถขยายตัวได้อีกมากเช่นกัน ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสทางธุรกิจของ IFS ที่จะระดมทุนในครั้งนี้เพื่อนำมาขยายธุรกิจ
นายกำพล ทรวงบูรณกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และ Book runner เปิดเผยว่าการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ IFS ไว้ที่ราคาหุ้นละ 1.35 บาท ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสมและดึงดูดใจนักลงทุนอย่างยิ่ง โดยพิจารณาจากค่าพีอี เรโชว์ อัตราการเติบโตของผลประกอบการในอดีตที่ผ่านมา รวมทั้งความพอใจของนักลงทุนและผู้บริหารบริษัทดังกล่าวด้วย
“ในปีนี้มีเพียงไม่กี่บริษัทที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และ IFS ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นในช่วงปลายเดือนนี้และเข้าเทรดวันแรก 10 สิงหาคม 2553 ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เพราะ IFS มีจุดเด่นในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลประกอบการที่เติบโตดีต่อเนื่อง โดยพิจารณาจากปี 2550 , ปี2551 และ ปี2552 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 50.48 ล้านบาท 71.13 ล้านบาท และ 71.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้นตามลำดับ และงวด 3 เดือนแรกปี 2553 ก็มีกำไรสุทธิเท่ากับ 21.81 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.64 อีกทั้งอัตราการจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีอยู่ในระดับที่ดึงดูดใจนักลงทุน ด้วยสภาพการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบันที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง ทำให้มั่นใจว่าหุ้นเพิ่มทุนของ IFS จะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ และได้รับความสนใจจากนักลงทุน” นายกำพล กล่าว
นายวิชา โตมานะ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวเสริมว่า “ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) เป็นหนึ่งในเครือข่ายของกลุ่ม IFS ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจ แฟคเตอริ่ง ลีสซิ่ง เช่าซื้อ ธุรกิจเงินร่วมลงทุน และการจัดหาเงินทุน ที่มีฐานในประเทศสิงคโปร์ และมีการดำเนินงานใน มาเลเซีย อินโดนีเซีย และประเทศไทย ด้วยศักยภาพในการทำธุรกิจของ IFS ทำให้มั่นใจว่าหุ้น IPO ของบริษัท ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน” นายวิชา กล่าว
ทั้งนี้ บริษัท ไอเอฟเอส แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ตั้งมานานกว่า 19 ปีประกอบธุรกิจหลักในการให้บริการสินเชื่อแฟคเตอริ่ง ซึ่งเป็นสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการ ที่สามารถนำลูกหนี้การค้าที่เกิดจากการขายเชื่อมาใช้ในการใช้สินเชื่อกับ IFS ได้ ทั้งผู้ประกอบการที่จำหน่ายสินค้าในประเทศและส่งออกเนื่องจาก IFS เป็นสมาชิกของ International Factors Group ซึ่งเป็นเครือข่ายแฟคเตอริ่งที่มีสมาชิกกว่า 152 บริษัท อยู่ในประเทศต่างๆมากกว่า 55 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังมี สินเชื่อลีสซิ่งประเภทสัญญาเช่าทางการเงิน และสินเชื่อเช่าซื้อ ที่สามารถเป็นแหล่งเงินสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจและมีการลงทุนในเครื่องจักร หรือยานพาหนะ นอกจากนี้ IFS ยังมีสินเชื่อประเภทอื่น ๆ โดยบริษัทมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าในทุกภาคธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนหรือเงินลงทุน ในทุกภาคธุรกิจ เช่น อุตสาหกรรม พาณิชย์ หรือบริการ เช่น ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร เครื่องดื่ม กระดาษและบรรจุภัณฑ์ ชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์ การบริการ เช่น จัดหางาน รักษาความปลอดภัย บันเทิงและนันทนาการ