“ประเด็นที่น่าสนใจมากคือ จะมีการเปลี่ยนแปลงของความต้องการภายในตลาดที่อยู่อาศัยแต่ละประเภท ทั้งตลาดหลัก (segment) ที่เป็นตลาดเดิมและตลาดเกิดใหม่ เช่น ครอบครัวที่มีรายได้สูงมีแนวโน้มจะอยู่บ้านเดี่ยวซึ่งจะเป็นตลาดหลักของบ้านเดี่ยว ในขณะที่ผู้เกษียณอายุที่อยู่คนเดียวจะมีแนวโน้มอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมเพิ่มสูงขึ้นซึ่งเป็นตลาดเกิดใหม่ของคอนโดมิเนียม การที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้าใจตลาดที่เปลี่ยนแปลงและตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้ จะสามารถสร้างความแตกต่างและนำหน้าคู่แข่ง” เมธินีกล่าว
นอกจากศึกษาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร SCB EIC ได้ทำการวิเคราะห์ว่าปัจจัยใดที่มีผลต่อราคาอสังหาริมทรัพย์ หรือ ที่เรียกว่า “hedonic pricing analysis” โดย ภารดี วิวัฒนะประเสริฐ นักวิเคราะห์อาวุโส กล่าวว่า “เราต่างทราบว่าทำเลมีความสำคัญมากขนาดไหนสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ทำเลดีๆ มีเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่ง จากการวิเคราะห์ของเราจะพิจารณาดูว่าปัจจัยอะไรบ้างจะทำให้ผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยหนึ่งๆ โดยพบว่ามีหลายปัจจัย เช่น โครงการที่ถูกพัฒนาโดยบริษัทที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือส่งผลให้ผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีกกว่า 40% เมื่อเทียบกับโครงการที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการอื่นๆ ทั้งนี้ระยะทางจากใจกลางเมืองก็มีความสำคัญต่อทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมมากกว่าบ้านเดี่ยว โดยราคาจะลดลงเร็วกว่าบ้านเดี่ยว เป็นต้น”
นอกจากนี้ยังพบว่าธุรกรรมที่เกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ คิดเป็นเกือบ 70% ของมูลค่าธุรกรรมดังกล่าวของทั้งประเทศในปี 2009 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรุงเทพฯ เป็นตลาดที่มีผู้แข่งขันมาก ทั้งๆ ที่มีพื้นที่จำกัด “รายงานฉบับนี้จึงเน้นถึงการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงผลที่มีต่อแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในระยะยาว เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในการวางแผนระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ” เมธินี กล่าวทิ้งท้าย
ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน SCB Insight เรื่อง “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวอย่างไรเมื่อความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง” สอบถามได้ที่ SCB EIC คุณพิณัฐฐา อรุณทัต โทร.0-2544-2953 อีเมล์ [email protected]