- พ.ย. ๒๕๖๗ เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ จัดงาน มาหา(อะ)ลัยขายของ MBK รวมใจพี่พบน้อง ร่วมอุดหนุนสินค้าคุณภาพจากทุกสถาบัน ทั้งศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน
- พ.ย. ๒๕๖๗ ภาพข่าว: ผอ.สสว. สัมมนาบทบาทหน้าที่ของสสว. ที่จังหวัดอยุธยา
- พ.ย. ๒๕๖๗ วธ.เผยโพลล์ “วันแม่แห่งชาติ” 12 สิงหาคม พบคนไทยตั้งใจ บอกรักแม่ด้วยการกอด-บอกรัก-พวงมาลัยกราบขอพรแม่
เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะอนุกรรมการคุรุศึกษาแห่งชาติ ประชุมเพื่อระดมความคิดเห็น เพื่อช่วยให้การดำเนินงานขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาด้านการผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ณ ห้องประชุมลำพอง 2 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ศาสตราจารย์กิตติคุณสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ประธานคณะทำงานด้านการผลิตและการใช้ครู กล่าวว่า สิ่งสำคัญในเรื่องของการพัฒนาครู คือ ทำให้สถาบันที่ผลิตครูทำหน้าที่พัฒนาครูอย่างเป็นระบบครบวงจร และกระบวนการให้คนเข้าดำรงตำแหน่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทำ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหลักสูตร 4 ปี หรือ 5 ปี ต้องมีรูปแบบที่ชัดเจน ต่อเนื่อง และเชื่อมโยงกับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เงินเดือน ความก้าวหน้าและ การปรับวิทยฐานะ ที่สำคัญเรื่องการวิจัยซึ่งที่ผ่านมาได้มีความพยายามจัดตั้งสถาบันวิจัยระบบการศึกษาของประเทศแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ขณะนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ บนพื้นฐานวัฒนธรรมของไทย โดยสภาวิจัยแห่งชาติพร้อมให้เงินสนับสนุน และจะร่วมกันพิจารณาเรื่องนี้ในวาระต่อไป นายเสน่ห์ ขาวโต คณะอนุกรรมการฯ กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีครูที่จะต้องได้รับการพัฒนาในหลายรูปแบบประมาณ 400,000 คน แต่ที่น่าจะได้ผลมากและใช้งบประมาณน้อยคือ การให้ครูได้พัฒนาตัวเอง แต่ทั้งนี้จะต้องสร้างระบบที่ดีโดยให้มีเครื่องมือที่บอกได้ว่าครูมีการพัฒนาขึ้น ที่เห็นได้ชัดเจนประการที่หนึ่ง คือ วิทยฐานะ ซึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อการพัฒนาครู เช่น ครูที่อยู่ในวิทยฐานะชำนาญการ ถ้าพัฒนาแล้วจะเปลี่ยนเป็นชำนาญการพิเศษ เพียงแต่ว่าระบบและวิธีการได้มาซึ่ง วิทยฐานะยังไม่ตรงกับการพัฒนาครูอย่างแท้จริง เพราะสิ่งที่อยากเห็นตอนนี้คือ ครูมีองค์ความรู้เพิ่มขึ้น มีการพัฒนาการเรียนการสอนเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงต้องมีกลไกและเครื่องมือเพื่อประเมินในเรื่องนี้ ประการที่สอง คือ ใบประกอบวิชาชีพครู ต้องมีเกณฑ์ในการให้ใบประกอบวิชาชีพที่เป็นกลางจริง และคนที่ได้ใบประกอบวิชาชีพต้องเป็นครูที่มีความเป็นวิชาชีพอย่างแท้จริง ดังนั้น จึงต้องมีเกณฑ์การประเมิน การสอบ การวัดที่ชัดเจน ถ้ากลไกทั้งสองเรื่องมีประสิทธิภาพ ครูจะพัฒนาตัวเองมากยิ่งขึ้น และหากจะให้การพัฒนาครูเป็นไปอย่างยั่งยืน ครูควรที่จะดำเนินงานร่วมกัน กล่าวคือ มีเครือข่ายในกลุ่มสาระวิชาของตนเอง เช่น เครือข่ายครูคณิตศาสตร์หรือชมรมครูคณิตศาสตร์ เพื่อให้ครูเก่งช่วยพัฒนาครูที่ด้อยกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ถ้าหากสร้างระบบต่าง ๆ เหล่านี้ให้ชัดเจน จะทำให้การพัฒนาครูได้ผลมาก