นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 534 บริษัท หรือ 94%ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 566 บริษัท (รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 27 กองทุน) ได้ส่งงบการเงินงวดสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 แล้ว โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมกำไรสุทธิงวด 6 เดือน จำนวน 292,981 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีกำไรรวม 218,240 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 34% ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2553 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 129,666 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ที่ส่งงบการเงินงวด 6 เดือนของปี 2553 จำนวน 472 บริษัท (จากทั้งหมด 503 บริษัท รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 27 กองทุน) มีกำไรสุทธิรวม 291,745 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยมียอดขายรวม 3,591,978 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยผลประกอบการของบริษัทใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด ได้แก่ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ที่มีกำไรสุทธิ 90,531 ล้านบาท 61,887 ล้านบาท และ 39,769 ล้านบาทตามลำดับ
"ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 มีกำไรสุทธิเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนถึง 34% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนเป็นผลจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 24% แสดงถึงการเติบโตของภาคธุรกิจที่ขยายตัวสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นด้วย " นายจรัมพรกล่าว
ส่วนบริษัทในกลุ่ม SET100 มีกำไรสุทธิงวด 6 เดือน 248,842 ล้านบาท คิดเป็น 85% ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม เพิ่มขึ้น 26% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 25% และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 85% และมีภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง 5% ในขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 28% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยจาก 20% เป็น 18 %
สำหรับบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ. ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)
ทั้งนี้ ภาพรวมของผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group) (ที่นำส่งงบการเงินและไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG) งวด 6 เดือน สิ้นสุด 30 มิ.ย.2553 จำนวนรวม 449 บริษัท มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกกลุ่ม รวม 290,126 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 34% โดยผลการดำเนินงาน เรียงลำดับตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุด ดังนี้
1. กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวดเหมืองแร่ มีกำไรสุทธิ 90,531 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
2.กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วย หมวดธนาคาร หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต มีกำไรสุทธิรวม 61,887 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากปีก่อน โดยธนาคารพาณิชย์ 12 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 54,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนบริษัทในหมวดธุรกิจหลักทรัพย์ มีกำไรสุทธิรวม 968 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 303 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 46 %
3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดวัสดุก่อสร้าง และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรสุทธิ 39,769 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
4. กลุ่มบริการ ประกอบด้วย หมวดขนส่งและโลจิสติกส์ หมวดพาณิชย์ หมวดการแพทย์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ และหมวดบริการเฉพาะกิจ มีกำไรสุทธิ 30,345 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% จากงวดเดียวกันของปีก่อนโดยหมวดขนส่งและโลจิสติกส์มีสัดส่วนของกำไรสุทธิคิดเป็น 48% ของกลุ่ม มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 95%
5. กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วยหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิ 24,522 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีกำไรสุทธิคิดเป็น 77% ของกลุ่ม โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 18%
6. กลุ่มวัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม ประกอบด้วย หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดยานยนต์ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ หมวดบรรจุภัณฑ์ และ หมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ มีกำไรสุทธิ 19,803 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 570 ล้านบาท สาเหตุหลักจากหมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักรมีกำไรเพิ่มขึ้น 148% ผลมาจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวและราคาเหล็กปรับตัวสูงขึ้น
7. กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วย หมวดอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดธุรกิจการเกษตรมีกำไรสุทธิ 18,094 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากยอดขายที่เติบโตขึ้น 21% ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงร้อยละ 13 และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 675%
8. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย หมวดแฟชั่น หมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ มีกำไรสุทธิ 5,175 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93% สาเหตุหลักจากผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นของหมวดแฟชั่นที่มีกำไรสุทธิรวม 4,157 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 157% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. S-E-T Call Center 0-2229-2222
ติดต่อส่วนประชาสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229—2036 /
กนกวรรณ เข็มมาลัย โทร. 0-2229—2048 / ณัฐยา เมืองแมน โทร. 0-2229-2043