นอกจากนี้ กองทุนดังกล่าว ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งบริษัทจัดการจะทำการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนดังกล่าว ในตลาดหลักทรัพย์ ประเทศ สิงคโปร์ และใช้สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้ ที่มีลักษณะคล้ายเงินฝาก หรือตราสารหนี้ทั่วไป หรือเงินฝากในสถาบันการเงินตามกฎหมายไทย ที่มีอายุตราสารหรือสัญญา หรือระยะเวลาการฝากเงิน แล้วแต่กรณี ต่ำกว่า 1 ปี เพื่อสำรองเงินไว้สำหรับดำเนินงานของกองทุน รอการลงทุนในต่างประเทศ หรือรักษาสภาพคล่องของกองทุน ตามที่คณะกรรมการก.ล.ต.กำหนด กองทุนจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ
นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า ทองเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดประเภทหนึ่งในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากราคาทองปรับตัวขึ้นมาก จากประมาณ $400/oz ในปี 2547 มาอยู่ที่ประมาณ $1,200/oz ในปัจจุบัน (7,500 บาท/ทอง 1 บาท มาเป็น 18,500 บาท/ ทอง 1 บาท) ซึ่งผู้ซื้อทอง หรือผู้ลงทุนในทองในช่วงเวลาดังกล่าวจะได้กำไรถึงร้อยละ 200 ซึ่งเป็นระดับกำไรที่สูงมาก เมื่อลองเทียบกับผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น (SET Index) ในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนประมาณร้อยละ 40
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่า ราคาทองได้ปรับตัวขึ้นมากแล้ว ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับราคาทองในอนาคต ราคาทองมักถูกผลักดันจากปัจจัยพื้นฐานหลายปัจจัย ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจ ค่าเงินดอลล่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยรวม อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ ความต้องการลงทุนของนักลงทุน และความต้องการลงทุนเพื่อเป็นเงินทุนสำรองของธนาคารกลาง
ปัจจัยทางด้านภาวะเศรษฐกิจ โดยปรกติแล้วราคาทองจะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ หรือความเสี่ยงของประเทศ (Economic and Sovereign Risks) ราคาทองปรับตัวขึ้นจาก$650/oz เป็น $950/oz ในปี 2550 จากความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และได้มีการปรับตัวขึ้นจาก $1,090/oz เป็น $1,230/oz ในช่วงต้นปี 2553 จากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ภาครัฐในยุโรป คาดการณ์ว่า ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจน่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก และการลงทุนระยะยาวในกองทุนทองคำถือเป็นการกระจายสินทรัพย์ในการลงทุนอีกด้วย
ในโอกาสนี้ บริษัทได้จัดโปรโมชั่น สำหรับผู้ลงทุนในกองทุนประเภท RMF และ LTF โดยลงทุนตั้งแต่วันที่2 มกราคม -30 ธันวาคม 2553 จะได้รับหน่วยลงทุนกองทุนเปิดกรุงไทยสะสมทรัพย์ มูลค่าสูงสุด 13,000 บาท และ หากลงทุนในโครงการ Wealth Plus โดยหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ หรือตัดผ่านบัตรเครดิตเคทีซี เป็นรายเดือน โดยมียอดหักบัญชีรวม ตั้งแต่ 30,000 บาท ขึ้นไป รับเพิ่มกระเป๋าพับเอนกประสงค์