นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารภาครัฐ ระหว่างกระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทย โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้ง 2 กระทรวง ร่วมเป็นสักขีพยาน รวมทั้งมีผู้ที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน
นายแพทย์วรรณรัตน์ กล่าวว่า กระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทยมีเจตนาร่วมกันในการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารภาครัฐอย่างจริงจัง โดยเบื้องต้นจะมีการส่งเสริมการใช้หลอดผอมเบอร์ 5 ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แทนหลอดผอมเดิม ซึ่งหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทย ทั้งที่เป็นอาคารควบคุม และอาคารศาลากลางจังหวัดทุกแห่งต้องได้รับการปรับเปลี่ยนหลอดผอมเบอร์ 5 ทั้งหมด
ทั้งนี้ ภายใต้ข้อตกลงความร่วมมือการอนุรักษ์พลังงานดังกล่าว ยังประกอบด้วยสาระสำคัญอื่น ๆ อาทิ กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) จะให้คำแนะนำและช่วยเหลือให้อาคารควบคุมทุกแห่งของกระทรวงมหาดไทย ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคดำเนินการอนุรักษ์พลังงานให้ถูกต้อง ทั้งในเรื่องการจัดให้มีผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน และจัดการพลังงานตามมาตรฐานและวิธีการที่กฎหมายกำหนด
รวมถึงการทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับประกาศใช้กฎกระทรวง กำหนดประเภท หรือขนาดของอาคาร และมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2552 รวมถึงการจัดทำคู่มือเอกสารวิชาการในการออกแบบอาคาร และตรวจสอบ แบบที่จะขออนุญาตก่อสร้าง ให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และพนักงานท้องถิ่น ซึ่งมีอำนาจในการพิจารณาอนุญาตการก่อสร้างอาคาร รวมถึงสถาปนิก วิศวกรและผู้เกี่ยวข้องกับการออกแบบอาคารได้ทราบอย่างทั่วถึง ตลอดจนร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ผลักดันให้นำกฎกระทรวงกำหนดประเภท หรือขนาดอาคารและมาตรฐานในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2552 มาใช้บังคับอย่างจริงจังต่อไป
นายไกรฤทธิ์ นิลคูหา อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า เบื้องต้นการศึกษาเพื่อเปลี่ยนหลอดผอมเบอร์ 5 ภายในอาคารกระทรวงมหาดไทย พบว่า จะต้องมีการเปลี่ยนหลอดทั้งหมด 3,000 หลอด ซึ่งหากเป็นการใช้หลอดผอมเดิม กระทรวงมหาดไทยจะมีค่าไฟฟ้าสูงถึง 982,333 บาท แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นหลอดผอมเบอร์ 5 ทั้งหมดแล้ว จะเหลือค่าไฟฟ้าเพียง 647,349 บาท ส่งผลให้ประหยัดได้สูงถึง 334,984 บาทต่อปี และที่สำคัญช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน ได้ถึง 57,144 กิโลกรัมต่อปี