นางอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ (Mrs. Oranuch Apisaksirikul, CEO) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2553 ที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในระดับที่ดี ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเริ่มกลับเข้ามา โดยจะเห็นได้จากกดัชนีหลักทรัพย์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภาวะดังกล่าว ส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของกลุ่มทิสโก้ในทุกด้าน ทั้งด้านของธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจจัดการกองทุน รวมถึงธุรกิจสินเชื่อของธนาคาร ขยายตัวได้ดีในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อคอร์ปอเรท และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ทำให้ผลประกอบการของกลุ่มทิสโก้ในไตรมาสที่ 3 และ งวด 9 เดือนของปี 2553 อยู่ในระดับที่น่าพอใจ
“การดำเนินธุรกิจของทิสโก้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ยังคงเติบโตตามแผนในทุกธุรกิจ ทำให้เราเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้การดำเนินธุรกิจในทุกส่วนจะสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมา 9 เดือน ตัวเลขที่ออกมาถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก บางตัวก็ได้บรรลุเป้าหมายของปีนี้ไปแล้ว” นางอรนุช กล่าว
ด้านนายสุทัศน์ เรืองมานะมงคล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr. Suthas Ruangmanamongkol, President, TISCO Bank Plc.) กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 3 นี้การปล่อยสินเชื่อของธนาคาร เติบโตและกระจายไปยังทุกกลุ่มสินเชื่อมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น การปล่อยสินเชื่อระยะยาวให้แก่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) เป็นต้น ส่วนการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ก็ขยายตัวต่อเนื่อง ตามยอดขายรถยนต์ที่เติบโตอย่างโดดเด่น ประกอบกับการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับเครือฟอร์ด มาสด้า และเชฟโรเล็ต ยังเป็นอีกแรงสนับสนุนที่สำคัญ โดยยอดสินเชื่อรถยนต์อนุมัติใหม่ในไตรมาส 3 อยู่ที่ 14,287.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,409.24 ล้านบาท คิดเป็น 44.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ธุรกิจ สินเชื่อทะเบียนรถยนต์ (ทิสโก้ ออโต้ แคช) ก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แม้ในตลาดจะมีการแข่งขันค่อนข้างสูง เนื่องจากในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ธนาคารได้ออกแคมเปญทิสโก้ออโต้แคช “เงินหมุน 0% งวดแรก” เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ต้องการใช้เงินสดหมุนเวียน ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเป็นอย่างดี และมียอดสินเชื่อเพิ่มขึ้น 19.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่ายอดสินเชื่อดังกล่าวจะยังขยายตัวแรงอย่างต่อเนื่อง
นายชาตรี จันทรงาม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายควบคุมการเงินและบริหารความเสี่ยงกลุ่มทิสโก้ (Mr. Chatri Chandrangam, CFO) กล่าวว่า ผลประกอบการของกลุ่มทิสโก้ไตรมาส 3 ของปี 2553 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 730.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับงวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,205.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ
สำหรับธุรกิจธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3 มีเงินให้สินเชื่อ 139,865.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 23.5% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2552 ทั้งนี้สัดส่วนของการให้สินเชื่อของทั้งกลุ่ม แบ่งออกเป็น สินเชื่อรายย่อย 73.1% สินเชื่อธุรกิจ 14.8% สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 5.1% และสินเชื่ออื่น ๆ 7% ด้านเงินฝากรวมอยู่ที่ 114,306.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 295.19 ล้านบาท หรือ 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สำหรับสัดส่วนเงินฝากประเภทเงินฝากออมทรัพย์และเผื่อเรียกต่อยอดเงินฝากรวมอยู่ที่ระดับ 34.6% ส่วนอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 2.0% เป็น 1.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ด้านธุรกิจหลักทรัพย์ ในไตรมาสนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยมีมูลค่าการซื้อขายต่อวันผ่าน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เท่ากับ 1,640.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามปริมาณการซื้อขายในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนรายได้จากค่านายหน้าก็มีการเพิ่มขึ้นจาก 55.87 ล้านบาท เป็น 212.77 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ บล.ทิสโก้ ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) อีกด้วย
ธุรกิจจัดการกองทุน มีรายได้จากค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 156.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.57 ล้านบาท หรือ 16.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการขยายตัวของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารและการออกกองทุนที่หลากหลาย โดยส่วนแบ่งทางการตลาด ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2553 อยู่ที่อันดับที่ 6 ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดเท่ากับ 5.4% แบ่งเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นอันดับ 3 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 14.1% สำหรับกองทุนส่วนบุคคลมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากเป็นอันดับที่ 2 หรือ 15.9% และกองทุนรวมอยู่ที่อันดับ 14 หรือมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 1.0% โดยในช่วงไตรมาส 3 บลจ.ทิสโก้ได้ออกผลิตภัณฑ์กองทุนรวมหลากหลายนโยบายลงทุน เช่น กองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย ลีดเดอร์ ทริกเกอร์ 15% และกองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้โรลอัพ เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ทำการเพิ่มเงินกองทุนในกองทุนเปิด ทิสโก้ ออยล์ ฟันด์ และกองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย ดิวิเดนด์ อีกกองละ 1,000 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการบริหารจัดการกองทุน และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เสาวนีย์ สันทบ, ชลิตา ตันตยานนท์
ฝ่ายนิเทศสัมพันธ์ บมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
โทร. 02 633 6906, 6909