นางศศิธร วัฒนกุล (ลอร่า) พิธีกรและนักเขียน เปิดเผยว่า “สำหรับการออกหนังสือเล่มใหม่นี้เป็นครั้งที่ 6 ซึ่งแตกต่างจากเล่มอื่นๆ เดิมเขียนแบบไดอารี่ เล่มนี้จึงมีจุดเด่นเป็นการเขียนที่มาจากบทบาทการเป็นนักข่าว ซึ่งรับเป็นคอลัมนิสต์ ในคอลัมน์ “ชวนคุยชวนคิด กับ Mrs..LAURA” ของหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ สามารถหาคำตอบที่คุณแม่ทุกคนต้องการ เฟ้นหาผู้เชี่ยวชาญมาตอบคำถาม นำมาปรุงแต่งให้เกิดอรรถรสน่าอ่าน
หนังสือ M.O.M Academy ได้แรงบันดาลใจมาจากการสะสมความรู้และโอกาสในการพบผูเชี่ยวชาญผ่านงานด้านสื่อสารมวลชนซึ่งมีโอกาสได้เจอข้อมูลและผูเชี่ยวชาญหลากกหลายสาขาวิชา ประกอบกับการมีลูก ทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆซึ่งบทบาทชีวิตแม่ที่มีอยูในชีวิตจริง จึงต้องการถ่ายทอดให้คนอื่นๆ ได้อ่าน แล้วสามารถนำบทเรียนชีวิตแม่มาปรับใช้ เนื่องจากไม่มีบทเรียนไหนตายตัว เน้นกลุ่มเป้าหมายหลากหลายสถานะ เริ่มตั้งแต่คู่แต่งงานใหม่ๆ การคิดจะมีลูกน้อย การใช้ชีวิตคู่อย่างไร ไปจนถึงกระทั่งคู่แต้งงานที่คิดเรื่องการหย่า เรียกได้ว่าครบทุกความต้องการ ”
สำหรับหนังสือเล่มนี้มี 4 บทเรียนใหญ่ๆ นำเสนอ บทแรก - "คิด คิด คอย คอย เจ้าหนูน้อยลูกรัก" ภายในบทนี้จะเชิญชวนให้พ่อแม่รู้จักวิธีการคิดเชิงสร้างสรรค์ของพ่อแม่ การวางแผนการมีสมาชิกใหม่เพิ่ม ซึ่งมีการวางแนวทางวิธีคิดถึงความรู้สึกของเด็ก การแก้ปัญหารวมไปถึงการเข้าใจลูกในแต่ละช่วงวัยได้มากขึ้น โดยบทนี้พ่อแม่ยุคใหม่พลาดไม่ได้กับ ข้อคิดของท่านรองศาสตราจารย์ ดร.โจน อี เดอร์แรนท์ นักจิตวิทยาคลินิกเด็กและนักวิชาการสังคมศาสตร์ครอบครัว ประเภทแคนาคา เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Positive Discipline : การสร้างวินัยเชิงบวก มี 4 กฏ ซึ่งเป็นรากฐานวิธีคิดให้เป็นขั้นตอนของพ่อแม่ค่อยๆ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ ในที่สุดวิธีคิดจะค่อยๆ เปลี่ยน และในที่สุดจะกลายเป็นพ่อแม่ที่มีความสร้างสรรค์ดั่งพ่อแม่ในฝันของลูกๆ ทุกคน
บทเรียนที่ 2 คือ "สองมือนี้ที่สร้างโลก" เผยเคล็ดไม่ลับในการลงมือปฎิบัติจริงในการสร้างครอบครัว. ไม่ว่าจะเป็น เคล็ดไม่ลับการสร้างลูกชาย เคล็ดไม่ลับการให้นมแม่ในรูปแบบใหม่ซึ่งน่าทึ่งกับข้อมูลการค้นคว้าวิจัยของแพทย์หญิงคริสติน่า เอ็ม สไมลี่ เด็กทารกมีความสามารถในการหาอาหารกินโดยการตามหาแหล่งอาหารเอง ซึ่งมีคุณแม่เป็นตัวสนับสนุนเท่านั้นเอง นอกจากนี้ยังมีวิธีการให้นมลูก การปลอบโยน คุณแม่ต้องใช้สัญชาตญาณสังเกตุลูกน้อยในแต่ละกิริยาบทเพื่อเข้าถึงลูกมากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นยังมีเคล็ดไม่ลับในการสร้างแบบฝึกหัดชีวิตในแต่ละช่วงวัย เช่น วัยกระเตาะแตะ วัยเริ่มสำรวจ วัยเรียน วัยรุ่น โดยมีสาระสำคัญจากข้มูลงานวิจัยขิง นายแพทย์สุริเดว ทรีปาตี และคณะ เผยเด็กไทยไร้ต้นแบบนานาประการ จะแก้อย่างไร และพลาดไม่ได้กับการลงมือไขความลับทางความคิดของเด็กด้วยเทคนิคการอ่านภาพจากความคิดของเด็กๆ และแถมท้ายรวมไปถึงการท่องเที่ยวเพื่อเสริมทักษะให้แก่ลูก
ส่วนบทเรียนที่ 3 " เติมรักให้เต็มครอบครัว " : ในบทนี้จะกล่าวถึงการใช้ชีวิตคู่ให้เข้าใจธรรมชาติของผู้ชายมากขึ้น ตัวอย่างในบท สยบชายไทยให้อยู่หมัดได้รับความรู้จาก ดร.อุบลวรรณ มีชูธน นักจิตวิทยาด้านวัฒนธรรมไทย มูลนิธิเมืองไทยเกื้อกูล ได้ศึกษาค้นคว้าวิจัยอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับค่านิยมอันเป็นลักษณะเฉพาะบางประการของคนไทย ต้องยอมรับในค่านิยมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด 6ประการคือ 1. คนไทยอีโก้แรง เช่นเดียวกับชายไทยอีโก้แรง 2. ค่านิยมเรื่องการกตัญญูรู้คุณ เช่นเดียวกับชายไทยให้รู้คุณค่าในตัวเขา 3. ความนิยมแห่งความอ่อนสุภาพเช่นเดียวกับชายไทยทีต้องการความอ่อนสุภาพ 4. ค่านิยมแห่งการยืดหยุ่น เช่นเดียวกับชายไทยต้องการความยืดหยุ่น 5.ค่านิยมเรื่องการพักอาศัย เช่นเดียวกับชายไทยต้องการการแบ่งเบาภาระ และ 6. เรื่องอารมณ์ขัน เช่นเดียวกับการที่ชายไทยชอบอารมณ์ขัน สูตรเด็ดนี้หญิงไทยรีบอ่านนำไปทดลองปฏิบัติเป็นการเข้าใจอีกฝ่ายได้อย่างดีเยี่ยม บทนี้หมั่นเติมความรักระหว่างสามีภรรยา. รวมทั้งคำแนะนำจากอฺธงชัย ประดับชนานุรัตน์ หากเริ่มคิดจะแยกทางกันควรทำอย่างไร ซึ่งผู้อ่านจะได้มีวิธีคิดที่แยบยลขึ้นเพราะเป็นการตัดสินชะตาชีวิตคู่ที่ต้องรอบคอบมากที่สุด
บทสุดท้าย บทเรียนที่ 4 ภาคพิเศษ " เพื่อการกล่อมเกลาสู่วัยพรีทีน " ในกลุ่มอายุ 7-12 ปี ได้รับการอนุเคราะห์ข้อมูลโดย พญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวการสถาบันราชานุกูล เผยว่า ปัจจุบันเด็กเข้าถึงสื่ออินเทอร์เน็ตอายุเพียง 9 ปี แตกต่างจากเมื่อก่อนสถิติอยู่ที่12 ปี ซึ่งรวดเร็วมากขึ้นในการรับข้อมูลข่าวสาร และในอนาคตจะมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ บทเรียนนี้เหมาะกับพ่อแม่ที่ลูกกำลังเตรียมเข้าสู่วัยรุ่น 1. ให้ลูกมีความสามารถในการคิดและตัดสินใจตัวเอง 2. ให้ลูกมีกิจกรรมเสริมเพราะจะช่วยให้เด็กไม่ติดไปกับบางสิ่งบางอย่างเมื่อเป็นวัยรุ่น และ 3. การให้ลูกมีความสนใจช่วยเหลือคนรอบข้างเพื่อจะได้เข้าใจคนรอบข้างคิดอย่างไร เกิดอะไรขึ้นกับคนอื่นๆ บ้าง พ่อแม่ต้องยอมรับเปิดใจ โดยเปิดโอกาสให้ลูกได้พูดในสิ่งที่เขาคิด ด้านการพัฒนาความคิดของเด็กวัย 7-12ปี เริ่มต้นด้วยการใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ แล้วเกิดกระบวนการเกิดความเข้าใจตนเองผ่านความเข้าใจพ่อแม่ จากนั้นก็จะเริ่มพัฒนาวิธีคิดด้วยตัวของเขาเอง สิ่งนี้เองจะทำให้เขากลายเป็นคนคนมีความสามารถด้านการคิด สามารถตัดสินใจในที่สุดเมื่ออายุ 12 ปี เป็นวัยรุ่นเต็มตัวผลลัพธ์ที่ออกมาคือการช่วยเหลือตนเองได้ นับเป็นการเตรียมพร้อมสู่วัยรุ่นอย่างสมบูรณ์แบบ แถมด้วยข้อมูลจากอฺปองทิพย์ เทพอารีย์ แนะโค้งสุดท้ายก่อนเข้าวัยรุ่นต้องได้แรงเสริมจากแม่ให้มากเป็นการประสานความสัมพันธ์ระหว่างแม่และพ่อที่เน้นเเฟ้น. เสริมด้วยความใกล้ชิดระหว่างพ่อและลูกสาว แม่และลูกชายก่อนจะสายเพราะแตกเนื้สาวเนื้หนุ่มไม่เข้าใกล้ผูใหญ่เพศตรงข้ามง่ายๆ
นอกจากนี้ ทั้ง 4 บทเรียนคุณภาพนี้จะเป็นคู่มือให้พ่อแม่ยุคใหม่ ได้มีมุมมองแง่คิด สาระประโยชน์ไปปรับใช้ตามสไตล์ของแต่ละครอบครัว หนังสือ M.O.M Academy จำหน่ายเล่มละ200 บาท รายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายจะแบ่งให้ “บ้านพักฉุกเฉิน” สถานสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้หญิงและเด็กที่ถูกกระทำรุนแรงโดยเงินจะนำไปเยียวยารักษาแผลกายและแผลใจให้กลับคืนสู่สังคม สามารถหาซื้อหนังสือได้ที่ร้านซีเอ็ดบุ๊ค ร้านบีทูเอส ร้านนายอินทร์ และร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทส ทั้งนี้สามารถติดต่อพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์จาการอ่านหนังสือ โดยผ่าน facebook : Mom. [email protected]