กรมธุรกิจพลังงานเผยสถานการณ์น้ำมันเชื้อเพลิงเดือนตุลาคม 53

พฤหัส ๑๘ พฤศจิกายน ๒๐๑๐ ๑๓:๕๒
กรมธุรกิจพลังงานเผยสถานการณ์น้ำมันเชื้อเพลิงเดือนตุลาคม 53 พร้อมแจงผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำมัน และการกำกับดูแลเรื่องความปลอดภัยในสถานีบริการ หลังลงพื้นที่ตรวจสอบสถานีบริการน้ำมันที่เสียหายจากน้ำท่วม

นายพีระพล สาครินทร์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยถึง สถานการณ์น้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งเกิดอุทกภัยหลายจังหวัดว่า ส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่มากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายน 2553 โดยในภาพรวมมีการใช้น้ำมันเบนซิน 20.1 ล้านลิตร/วัน ลดลง 1% น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 46.6 ล้านลิตร/วัน ลดลงเล็กน้อยประมาณ 0.4% LPG อยู่ที่ 15,800 ตัน/วัน ลดลง 1% NGV อยู่ที่ 5,400 ตัน/วัน เพิ่มขึ้น 2% โดยในส่วนของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ มียอดใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแก๊สโซฮอล์ อี 85 เพิ่มขึ้นถึง 12% จากการใช้ 7,000 ลิตร/วัน ในเดือนกันยายนเป็น 8,000 ลิตร/วัน ในเดือนตุลาคม และแก๊สโซฮอล์อี 20 อยู่ที่ 0.40 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น 4% สำหรับการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา อยู่ที่ 28.1ล้านลิตร/วัน และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 อยู่ที่ 17.7 ล้านลิตร/วัน มีอัตราการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลจากภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ดังกล่าว

สำหรับการใช้ LPG ปรับลดลงทุกภาคส่วน ยกเว้นภาคปิโตรเคมี และยังมีปริมาณนำเข้า 148,000ตัน มูลค่า 3,400 ล้านบาท เนื่องจากโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 ของ ปตท.ยังไม่สามารถดำเนินการได้ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ส่วนการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเดือนตุลาคม 2553 มีปริมาณรวม 4,000 ล้านลิตรหรือ 812,000 บาร์เรล/วัน ลดลง 1% คิดเป็นมูลค่านำเข้า 61,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จะเห็นได้ว่าปริมาณปรับลดลงจากเดือนกันยายน แต่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ย 74 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนกันยายน เป็น 80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในเดือนตุลาคม โดยเพิ่มขึ้นเกือบ 6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในขณะที่การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป มีปริมาณ 1,200 ล้านลิตร หรือ 253,000 บาร์เรล/วัน ลดลงจากเดือนกันยายน 6% และมูลค่าส่งออก 19,000 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกันยายน 12% เนื่องจากอัตราการแลกเปลี่ยนของเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเหรียญสหรัฐ

นอกจากนี้ นายพีระพล ยังกล่าวถึง การตรวจสอบคุณภาพน้ำมันตามสถานีบริการที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมว่า กรมธุรกิจพลังงานได้จัดส่งหน่วย Mobile Lab ไปตรวจสอบคุณภาพน้ำมันยังสถานีบริการในพื้นที่จังหวัดประสบภัย ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี พัทลุง ตรัง และสงขลา พบว่า มีสถานีบริการที่ถูกน้ำท่วมพื้นลานและทางเข้าออกสถานีบริการ ต้องหยุดการจำหน่าย จำนวน 31 แห่ง และขณะนี้ได้เปิดการจำหน่ายแล้ว 26 แห่ง โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบคุณภาพน้ำมันของสถานีบริการดังกล่าว ทั้ง 26 แห่ง ปรากฏว่าคุณภาพถูกต้อง (จังหวัดนครราชสีมา 3 แห่ง นนทบุรี 1 แห่ง พัทลุง 1 แห่ง ตรัง 1 แห่ง และสงขลา 20 แห่ง โดยเป็นสถานีบริการของ ปตท. 9 แห่ง เชลล์ 8 แห่ง เอสโซ่ 4 แห่ง เซฟรอน 2 แห่ง บางจาก 2 แห่ง และอิสระ 1 แห่ง) ส่วนอีก 5 แห่งยังไม่เปิดบริการ โดย 1 แห่งยังถูกน้ำท่วมขัง และอีก 4 แห่ง ยังซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ชำรุดไม่แล้วเสร็จ และกรมธุรกิจพลังงานจะได้ติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำมันของสถานีบริการดังกล่าว ก่อนการจำหน่ายสู่ผู้บริโภคต่อไป

นอกจากการดูแลเรื่องคุณภาพน้ำมันแล้ว กรมธุรกิจพลังงานยังกำกับดูแลสถานีบริการน้ำมันในด้านความปลอดภัย โดยกรมธุรกิจพลังงานจะมีการตรวจสอบ ทอสอบและรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2542 เพื่อเป็นการป้องกันหรือระงับเหตุหรือความเสียหาย อันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจตราสถานีบริการน้ำมันอยู่เสมอ ซึ่งด้านความปลอดภัยนั้นจะตรวจสอบทั้งที่ตั้ง ลักษณะ และระยะปลอดภัยทั้งภายในและภายนอกของสถานีบริการน้ำมัน ลักษณะการเก็บน้ำมัน การก่อสร้างถังเก็บน้ำมัน ระบบท่อและอุปกรณ์ต่างๆ ตลอดจนระบบการป้องกันและระงับอัคคีภัย ซึ่งการกำกับดูแลดังกล่าวในเขตกรุงเทพมหานครจะกำกับดูแลโดยกรมธุรกิจพลังงาน ซึ่งมีสถานีบริการน้ำมันมาตรฐานประมาณ 750 แห่ง มีสถานีบริการน้ำมันขนาดเล็ก ประมาณ 150 แห่ง แต่ในส่วนภูมิภาคนั้นจะกำกับดูแลโดยพลังงานจังหวัดร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีสถานีบริการน้ำมันขนาดมาตรฐาน ประมาณ 5,000 แห่ง และมีสถานีบริการขนาดเล็ก ประมาณ 14,000 แห่ง และมีการตรวจสอบเบื้องต้นตามกฎหมายอื่น ๆ ที่กำกับดูแลสถานีบริการน้ำมัน หากพบว่าไม่ถูกต้องก็จะแจ้งให้ผู้ประกอบการดำเนินการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายอื่น ๆ ด้วย

ปิดท้าย อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน ฝากแจ้งข่าวไปยังประชาชนและผู้ประกอบการที่ต้องการติดต่อประสานงานกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง การย้ายที่ทำการใหม่ ซึ่งกรมธุรกิจพลังงานจะย้ายที่ทำการจากอาคารไอทาวเวอร์ ไปยังอาคารศุนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) ตึก บี ชั้น 19 และชั้น 20 ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2553 เป็นต้นไป โดยสามารถสอบถามได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2794-4308-9

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๙:๕๕ ดร.เอ้ สุดยอดผู้นำด้าน AI เชื่อมั่น รพ.พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร จะปฏิวัติการแพทย์ไทย ด้วย AI พร้อมความตั้งใจอันแน่วแน่
๐๙:๐๓ รมว.นฤมล ผลักดันกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR)
๐๙:๑๖ เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ร่วมกับ สภากาชาดไทย ชวนร่วมบริจาคโลหิต 26 ธันวาคมนี้ ชั้น 7 โซน A เพิ่มโลหิต เพิ่มชีวิต
๐๙:๔๗ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดเต็ม!! ลงพื้นที่เร่งลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาส สร้างชีวิตแก่ชาวหนองคายอย่างยั่งยืน
๐๙:๕๕ มูลนิธิอายิโนะโมะโต๊ะ ส่งมอบอาคารโรงอาหารอายิโนะโมะโต๊ะ ให้แก่ โรงเรียนบ้านดอนมะกอก จังหวัดสุราษฎร์ธานี
๐๙:๐๕ กทม. เข้มงวดโครงการก่อสร้างคอนโดฯ ในซอยสุขุมวิท 93 ปฏิบัติตามมาตรการ EIA
๐๙:๕๐ การเคหะแห่งชาติตั้งเป้าสร้างที่อยู่อาศัยรองรับสังคมผู้สูงอายุ
๐๙:๒๘ ทำอย่างไรจึงจะทำให้มีการใช้ generative AI มากขึ้น
๐๙:๔๐ NocNoc จับมือ กฟผ. ส่งความสุขปีใหม่ให้คนรักบ้าน มอบส่วนลดสินค้าประหยัดไฟเบอร์ 5 สูงสุด 500 บาท เมื่อช้อปผ่าน NocNoc Chat Shop ทัก-ช้อป-ลด เริ่ม 25 ธ.ค. 67
๐๙:๑๔ Warrior ตั้ม ศุภกิตติ์ หรือ ตั้ม โทมัส ทอม จากทีมมาสเตอร์ ดร.อั้ม อธิชาติ คว้าชัย The Social Warrior คนแรกของประเทศไทย