นายสมชาย ตรีรัตนนุกูล ผู้จัดการทั่วไป หน่วยธุรกิจบริการโครงข่ายอินเทอร์เน็ต และสื่อสารระหว่างประเทศ บริษัท จัสเทล เน็ทเวิร์ค จำกัด เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่เกิดเหตุอุทกภัยน้ำท่วมในทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยนั้น ได้สร้างความเสียหายและเดือดร้อนอย่างมหาศาลให้กับประชาชน และจากภาวะน้ำท่วมขังเป็นระยะเวลานานได้ก่อให้เกิดปัญหาและผลกระทบตามมาทั้งในเรื่องของการอุปโภค บริโภค ตลอดจนระบบสาธารณูปโภค โดยเฉพาะด้านการติดต่อสื่อสารที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
“ในเขตพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยเฉพาะภาคใต้ ที่ผ่านมานั้นได้เกิดความเดือดร้อนอย่างหนักในเรื่องของระบบการสื่อสารที่ขัดข้อง ไม่สามารถใช้งานได้ในหลายพื้นที่ ส่งผลให้การติดต่อขอความช่วยเหลือเกิดความล่าช้า หยุดชะงัก ทั้งนี้เป็นผลมาจากผู้ให้บริการเกิดปํญหาเนื่องจากสัญญาณล่ม สัญญาณเต็ม ทำให้เกิดการขัดข้องเป็นช่วงๆ จำเป็นต้องเพิ่มช่องสัญญาณเพื่อความสะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ให้บริการยังต้องเร่งเข้าไปฟื้นฟูสถานีฐานต่างๆ ให้กลับมาใช้บริการได้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในอนาคตคือระบบเครือข่ายสำรองเพื่อเตรียมไว้หากเกิดกรณีฉุกเฉิน”
นายสมชายกล่าวต่อว่า ในส่วนของจัสเทลฯ นั้นถือเป็นการสอบผ่านบททดสอบครั้งสำคัญทั้งทางด้านความแข็งแกร่งของการออกแบบโครงข่ายเกตเวย์ระหว่างประเทศ ทีมงานดูแลบำรุงรักษาโครงข่ายและแผนสำรองฉุกเฉินหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ทีมงานจัสเทลได้ทุ่มเทอย่างหนักในการรักษาโครงข่ายไว้ให้สามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่องผ่านพ้นวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้ทั้งที่หาดใหญ่และสุราษฎร์ธานีซึ่งเป็นเส้นทางต่อผ่านเกตเวย์ออกต่างประเทศของไทย ซึ่งโดยรวมแล้วช่องสัญญาณเกตเวย์ของไทยจะเชื่อมต่อผ่านภาคใต้ของไทยไปต่างประเทศมากถึงกว่า 60 เปอร์เซ็นเลยทีเดียว นับจากนี้ต่อไปจัสเทลจะลงทุนขยายอุปกรณ์เพิ่มเติมอีกประมาณ 15 ล้านบาทที่สถานีเกตเวย์ใหม่ที่หาดใหญ่ซึ่งสร้างเสร็จแล้วและปลอดภัยจากน้ำท่วม ในขณะเดียวกันเตรียมเร่งขยายโครงข่ายเกตเวย์ในเส้นทางอื่นตามโครงการอินโดไชน่าฮับเพื่อเป็นประตูเชื่อมต่อออกต่างประเทศของไทยอย่างน้อยอีก 3 เส้นทางให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในต้นปีหน้า ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงอันเกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันในอนาคตและกระทบกับการติดต่อสื่อสารของคนไทย