คุณ กฤษฎา อุตตโมทย์ ผู้จัดการทั่วไป มินิ ประเทศไทย กล่าวว่า “MINI ทั้งในรุ่น Hatchback, Clubman และ Convertible ได้รับการปรับเปลี่ยนในรายละเอียดด้านดีไซน์ภายนอก เพื่อให้ดูหล่อคมคาย ทั้งในส่วนของกันชนหน้า กันชนหลัง ช่องลมด้านข้าง และไฟท้าย อีกทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ของล้ออัลลอยด์ และมีการเพิ่มสีใหม่ๆเพิ่มความสดใส เช่น สีฟ้า Ice Blue, สีส้ม Spice Orange, สีเขียว British Racing Green II และสีเทา Eclipse Grey ซึ่งเป็นสีพิเศษสำหรับ MINI Cooper S ทั้งนี้เพื่อเป็นการเสริมคาร์แรกเตอร์ที่โดดเด่นของมินิให้เร้าใจยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ภายในก็มีการปรับเปลี่ยนทั้งด้านฟังก์ชั่นการใช้งานและดีไซน์ โดยเฉพาะในส่วนของคอนโซลกลางและมาตรวัด Center Speedo เพื่อให้ดูสบายตาภายใต้มุมแสงที่แตกต่างอีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่สะดวกยิ่งขึ้น ในการอัพเดทไลน์ผลิตภัณฑ์ครั้งนี้ เราได้มีการปรับเพิ่มอ๊อปชั่นโปรไฟล์ในทุกรุ่น โดยเฉพาะในรุ่น MINI Cooper Look 2, MINI Cooper S Look 2, MINI Cooper S Clubman และ MINI Cooper S Convertible ที่ได้รับการติดตั้งระบบ MINI Connected ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่รถยนต์สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ ในขณะนี้ ระบบ MINI Connected สามารถเชื่อมต่อกับโปรแกรมTwitter, Web news และ Web radio ซึ่งทำให้การฟังวิทยุจากประเทศต่างๆทั่วโลก เป็นไปได้อย่างง่ายดายและในอนาคตก็จะมีการเปิดบริการเพิ่มขึ้นในส่วนโปรแกรม Facebook และ Google Local Search ทั้งนี้ ระบบ MINI Connected จะทำงานร่วมกับ iPhone 4 ผ่านระบบเชื่อมต่อสัญญาณ Data GPRS หรือ 3G”
เจาะเทคโนโลยีเครื่องยนต์ของ MINI Cooper S
สุดยอดกับระบบ Twin-Scroll Turbo และเทคโนโลยี VALVETRONIC
เพื่อสมรรถนะและประสิทธิภาพสูงสุด
ในขณะที่ MINI Cooper S ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในรถเล็กสมรรถนะสูงที่ขับสนุกที่สุด วิศวกรของมินิก็มิได้หยุดนิ่งในการคิดค้นเพื่อพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้นโยบาย Sustainability ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของมินิได้สร้างนวัตกรรมใหม่ให้กับอุตสาหกรรมยายนต์ด้วยระบบเครื่องยนต์ที่ผสมผสานสามสุดยอดเทคโนโลยีเพื่อสร้าง ‘เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตรที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในโลก’ กล่าวคือ (1) เทคโนโลยีระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbo (2) ระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC และ (3) ระบบฉีดน้ำมันตรงเข้ากระบอกสูบ Direct Injection
เครื่องยนต์ของ MINI Cooper S ที่ได้รับการอัพเกรดในครั้งนี้ จัดได้ว่าเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ได้มีการผนวกรวมระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbo และระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งต่างก็เป็นสุดยอดเทคโนโลยีระบบป้อนอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ จึงเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ของ MINI Cooper S ซึ่งเป็นสุดยอดอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ทั้งในแง่ของสมรรถนะ ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน และการลดการคายไอเสีย
เทคโนโลยีระบบอัดอากาศ Twin-Scroll Turbo ใช้หลักการแบ่งทางเดินไอเสียเป็นสองช่อง โดยทั้งสองช่องจะทำงานสอดประสานกัน สร้างแรงดันของไอเสียให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำ เพื่อป้อนเป็นพลังงานขับเคลื่อนใบพัดของระบบเทอร์โบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบ Twin-Scroll Turbo จึงเป็นระบบเทอร์โบเดี่ยวที่สามารถให้กำลังอัดอากาศสูงและต่อเนื่องเสมือนกับใช้ระบบเทอร์โบคู่ ซึ่งนอกจากจะมีขนาดกะทัดรัดซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับรถขนาดเล็กอย่างมินิแล้ว ยังเป็นการประหยัดพลังงานโดยเฉพาะในเรื่องของระบบหล่อเย็นของเทอร์โบอีกด้วย ส่วนระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC ซึ่งมีความสามารถกำหนดระยะเปิด-ปิดและระยะเวลาการเปิดวาล์วอากาศได้แปรผันต่อเนื่องตลอดทุกช่วงรอบตามความต้องการของเครื่องยนต์ ทำให้สามารถป้อนอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การทำงานของทั้งสองระบบดังกล่าวอย่างควบคู่กัน จะส่งผลให้เครื่องยนต์สามารถผลิตกำลังตอบสนองความต้องการในทุกรูปแบบการขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ผลลัพธ์ที่ได้คือ MINI Cooper S ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของรถเล็กสมรรถนะสูงอยู่แล้ว มีสมรรถนะสูงยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่และประสิทธิภาพความประหยัดน้ำมันและลดการคายไอเสีย ด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด MINI Cooper S รุ่นแฮ็ทแบ็ค พร้อมเครื่องยนต์ใหม่ที่มีกำลังสูงสุด 184 แรงม้านี้ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 7.2 วินาที (เร็วขึ้น 0.1 วินาที) และสามารถทำอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยได้ดีกว่าเดิมอีก 11% เป็น 15.6 กิโลเมตรต่อลิตร อีกทั้งค่าเฉลี่ยอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำเพียง 149 กรัมต่อกิโลเมตร (ลดลง 10%) ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU
MINI One เครื่องยนต์ใหม่ 1.6 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี VALVETRONIC
และ MINI Cooper เครื่องยนต์ 122 แรงม้า
เครื่องยนต์ของ MINI Cooper ก็ได้รับการปรับปรุงในส่วนของซ๊อฟแวร์บริหารเครื่องยนต์ ทำให้มันมีกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 122 แรงม้า (เดิม 120 แรงม้า) ด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด MINI Cooper รุ่นแฮ็ทแบ็ค มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 10.4 วินาที และสามารถทำอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 15.6 กิโลเมตรต่อลิตร (ดีขึ้น 2%) และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เฉลี่ย 150 กรัมต่อกิโลเมตร (ลดลง 4%) ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU
MINI One ได้รับการแทนที่เครื่องยนต์เดิม ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.4 ลิตร ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 1.6 ลิตรพร้อมด้วยเทคโนโลยีระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC สามารถผลิตกำลังสูงสุด 98 แรงม้า (เดิม 95 แรงม้า) พร้อมแรงบิด 153 นิวตัน-เมตรที่ 3,000 รอบ (เดิม 140 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ) ทำให้ MINI One รุ่นแฮ็ทแบ็ค พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงด้วยเวลา 12.3 วินาที (เร็วขึ้น 0.3 วินาที) และทำอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 15.6 กิโลเมตรต่อลิตร (ดีขึ้น 2%) และอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เฉลี่ย 150 กรัมต่อกิโลเมตร (ลดลง 3%) ตามมาตรฐานการวัดค่าเฉลี่ย EU
ราคาจำหน่าย
รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และโปรแกรม MSI MINI Service Inclusive 3 ปี / 50,000 กิโลเมตร
รุ่นแฮ็ทแบ็ค
MINI One ราคา 2,090,000 บาท
MINI Cooper Look 1 ราคา 2,390,000 บาท
MINI Cooper Look 2 ราคา 2,690,000 บาท
MINI Cooper S Look 1 ราคา 2,890,000 บาท
MINI Cooper S Look 2 ราคา 3,090,000 บาท
รุ่น Clubman
MINI Cooper Clubman ราคา 2,790,000 บาท
MINI Cooper S Clubman ราคา 3,290,000 บาท
รุ่นเปิดประทุน
MINI Cooper Convertible ราคา 2,890,000 บาท
MINI Cooper S Convertible ราคา 3,290,000 บาท
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก เราผลิตและจำหน่ายรถยนต์ภายใต้แบรนด์ BMW, MINI และ Rolls-Royce และรถมอเตอร์ไซค์ BMW เรามีเครือข่ายการผลิต 24 แห่งใน 13 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังมีเครือข่ายจำหน่ายและบริการมากกว่า 140 ประเทศทั่วโลก ในปีค.ศ. 2009 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปมียอดขายรถยนต์ 1.29 ล้านคันและรถมอเตอร์ไซค์ 87,000 คัน มีรายได้ 50.68 ล้านยูโร และมีพนักงาน 96,000 คนทั่วโลก
ความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปได้รับการขับเคลื่อนจากพลังแห่งวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยี สร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม และให้บริการกับลูกค้าอย่างดีที่สุด นอกจากนั้นเรายังให้ความสำคัญกับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน โดยการคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในทุกผลิตภัณฑ์และในทุกขั้นตอนการผลิต และจากความมุ่งมั่นและความพยายามอย่างไม่ลดละ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปจึงได้รับการจัดอันดับให้เป็น The World’s Most Sustainable Car Manufacturer โดยสถาบัน Dow Jones ถึง 6 ปีซ้อน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
เศรษฐิพงศ์ อนุตรโสตถิ
ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารกิจการองค์กร
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย
โทร. 0-2305-8820 โทรสาร 0-2305-8882