“การสร้างสรรค์สามารถทำให้เอสเอ็มอีและบริษัทขนาดใหญ่แข่งขันกันอย่างเท่าเทียมได้ ไทยมีเอสเอ็มอี ถึงร้อยละ 99 หากสร้างโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยเกื้อหนุนต่าง ๆ จะทำให้ช่วยประสบผลสำเร็จได้ มีการย้ายสู่อุตสาหกรรมที่เติบโตได้ โดยผู้ประกอบการต้องทำงานหนักยิ่งขึ้น บุคลากรเป็นสินทรัพยที่สร้างสรรค์ได้ ดังนั้นต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุน และเกิดการจ้างงานที่ดี รายได้ที่ดี อยู่ร่วมกันได้มนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยทำระดับปัจกบุคลและท้องถิ่น หากทำสำเร็จ สังคมก็สำเร็จ ต้องมีการจัดการสมดุลระหว่างความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ และเทคโนโลยี ซึ่งที่สุดนำไปสู่การมีชีวิตที่ดีขึ้นได้” นายไตรรงค์กล่าว
นายไตรรงค์ ยังกล่าวต่อไปอีกว่า หลังการจัดงาน"มหกรรมงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ" ในครั้งนี้ ยังเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยจะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในภูมิภาคนี้ และเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของไทย จะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 20 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)ได้ในอีก 2 ปีข้างหน้าหรือปี พ.ศ.2555 อย่างแน่นอน
ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ กล่าวว่า การจัดงานแม้เป็นครั้งแรกของไทย แต่ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ โดยประเทศไทยได้รับการยอมรับจาก WIPO หรือ องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก องค์การสหประชาชาติ(UN) และ UNESCO รวมถึงองค์การการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ให้การยอมรับว่า ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำประเทศด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในภูมิภาคนี้ และหวังว่า Thailand Model เป็นแบบอย่างให้กับประเทศกำลังพัฒนาต่อไป ขณะเดียวกันไทยก็สามารถสร้างองค์กรคือ สำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติในการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์
นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือกับองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก และองค์การการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนาในการสร้างผู้นำภาคราชการ และผู้ประกอบการด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยจะให้มีการจัดตั้ง WIPO ACADEME เพื่อเป็นศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ เพราะการที่ประเทศไทยตั้งเป้าหมายไว้ 2 ประการคือ รัฐบาลสามารถผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นประเทศผู้นำด้านเศรฐษกิจสร้างในภูมิภาคนี้ และการเพิ่มสัดส่วนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้อยู่ในระดับร้อยละ 20 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)ภายในปี 2555 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมูลค่าจะเพิ่มจากปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 900,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 1 ล้านล้านบาทได้อย่างแน่นอน