นายสุขวัฒน์มีประสบการณ์กว่า 16 ปี จากสถาบันการเงินหลายแห่ง สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการบัญชีจาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยเวสต์จอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังเป็นผู้สอบบัญชีได้รับอนุญาต (CPA) และขึ้นทะเบียนเป็น Chartered Financial Analyst (CFA)
ทั้งนี้นายสุขวัฒน์ ได้แจ้งว่าทางบริษัทได้มีมติให้จ่ายเงินปันผลของกองทุนเปิด แมนูไลฟสเตร็งค์ อิควิตี้ ปันผล (MS-EQ DIV) อีกเป็นครั้งที่ 6 ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.90 บาท โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียน เพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 12 มกราคม 2554 และกำหนดจ่ายเงินปันผลภายในวันที่ 20 มกราคม 2554 นี้ โดยก่อนหน้านี้ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2552 กอง
ทุนเปิด แมนูไลฟ ? สเตร็งค์ อิควิตี้ ปันผล (MS-EQ DIV) มีการจ่ายปันผลไปแล้ว 3.35 บาท รวมครั้งนี้กองทุนจ่ายเงินปันผลทั้งสิ้น 4.25 บาทต่อหน่วย ซึ่งคิดเป็นอัตราปันผลตอบแทนถึง 42.25% ตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ในระยะเวลาเพียง 17 เดือน
กองทุนเปิด แมนูไลฟ์ สเตร็งค์ อิควิตี้ ปันผล (MS-EQ DIV) นี้ มีนโยบายจ่ายปันผลได้สูงสุดถึง12 ครั้งต่อปี ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนระยะปานกลางถึงระยะยาวในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยคำนึงถึงราคาและมูลค่าที่เหมาะสม ปัจจัยพื้นฐาน แนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจประวัติการจ่ายเงินปันผลรวมถึงแนวโน้มการจ่ายเงินปันผลของหลักทรัพย์นั้นๆ
ด้านนาย พนุกร จันทรประภาพ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บลจ.แมนูไลฟ์ กล่าวว่า เมื่อปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 40.60% ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่มีผลตอบแทนเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยเปิดตลาดต้นปี 2553 ที่ระดับ 735 จุด และปรับตัวลดลงในเดือนกุมภาพันธ์มาแตะที่ระดับต่ำกว่า 700 จุด หลังจากนั้นตลาดก็กลับตัวขึ้นสูงสุดใกล้แตะ 1,050 จุด ในเดือนพฤจิกายน และปิดตลาดสิ้นปี อยู่ที่ 1,032 จุด ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ โดยมีปัจจัยหลักมาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและเงินทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามามากกว่า 8 หมื่นล้านบาท
สำหรับปี 2554 นี้ ภาคธุรกิจยังคงมีการเติบโตจากการขยับขยาย การควบรวมกิจการและการคาดการณ์ตลาดทุนน่าจะปรับตัวดีขึ้นอีกในปีนี้ โดยมีปัจจัยหนุนมาจากการปรับตัวของหุ้นในทางที่ดีขึ้นแมนูไลฟ์มองว่าตลาดน่าจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกติดต่อกันเป็นปีที่ 3 นับตั้งแต่ปี 2552 โดยตั้งเป้าดัชนีตลาดไว้ที่ 1,200 จุด โดยน้ำหนักในการคิดผลตอบแทนส่วนใหญ่มาจากคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ที่
15-20 % และ PE ที่ 14 เท่าการเลือกตั้งทั่วไปในปีนี้น่าจะส่งผลดีต่อการลงทุน โดยรัฐบาลมีการออกนโยบายด้านสวัสดิการสังคมเพิ่มเติมเพื่อสร้างประชานิยม อีกทั้งยังมีความพยายามที่จะลดภาษีเงินได้ทั้งภาคบุคคลและภาคธุรกิจในอนาคต ทำให้กำลังซื้อของคนไทยเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้นกลุ่มธุรกิจพลังงานจะเป็นกลุ่มหลักในปีนี้ โดยแมนูไลฟ์หวังว่าจะสร้างผลงานที่ดีจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน ขณะที่ธุรกิจ โรงกลั่นจะได้รับประโยชน์จากการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มบางส่วน