นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้รายงานภาพรวมการขอรับส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ในช่วงปี 2553 (มกราคม-ธันวาคม) ที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยทั้งสิ้น 865 โครงการ เงินลงทุน รวม 236,037 ล้านบาท โดยจำนวนโครงการปรับเพิ่มขึ้น 9.8% เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่มี 788 โครงการ ส่วนมูลค่าเงินลงทุนแม้จะปรับลดลง 32.7% เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่มีมูลค่าเงินลงทุนจากต่างชาติทั้งสิ้น 350,754 ล้านบาท แต่เป็นเพราะโครงการลงทุนจากต่างประเทศในปี 2553 ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดกลาง
ทั้งนี้การลงทุนจากกลุ่มนักลงทุนประเทศญี่ปุ่นยังเป็นกลุ่มที่เข้ามาลงทุนสูงสุด และปรับเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการ และมูลค่าเงินลงทุน โดยในปี 2553 มีจำนวนโครงการที่ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นรวม 363 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 104,422 ล้านบาท จำนวนโครงการปรับเพิ่ม 36.4% เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 266 โครงการ ในขณะที่มูลค่าเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้น 34.9% เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 77,380 ล้านบาท
กิจการที่นักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นอันดับแรก เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่งจำนวน 156 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 46,616 ล้านบาท รองมาเป็นกลุ่มกิจการอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า จำนวน 66 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 33,296 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์กระดาษ และพลาสติก จำนวน 52 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 8,102 ล้านบาท ตามลำดับ
“แม้ในปี 2553 ประเทศไทยจะเผชิญปัญหา ทั้งมาบตาพุด วิกฤติการเมือง ปัญหาขาดแคลนแรงงาน แต่จากพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจ และการแก้ปัญหาต่างๆ ผ่านไปได้ด้วยดี จึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ ทั้งนี้มั่นใจว่าการลงทุนจากญี่ปุ่นในปี 2554 จะยังขยายตัวต่อเนื่องหลังจากทิศทางของการแข็งค่าของเงินเยน ซึ่งประเทศไทยจะยังเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของนักลงทุนญี่ปุ่นที่จะตัดสินใจเข้ามาลงทุนหรือขยายฐานการผลิตเพิ่มขึ้น”นายชัยวุฒิ กล่าว
นายชัยวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมของการขอรับส่งเสริมการลงทุนในปี 2553 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,591 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 447,400 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 400,000 ล้านบาท โดยโครงการ ปรับเพิ่มขึ้น 6.8% เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่มี 1,489 โครงการ ในขณะที่มูลค่าเงินลงทุนปรับลดลง 29.8% เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 638,100 ล้านบาท ซึ่งเป็นปีที่มูลค่าการลงทุนสูงสุดในรอบ 40 ปี
ทั้งนี้ทิศทางของจำนวนโครงการลงทุนที่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงความสนใจของนักลงทุนที่มีต่อประเทศไทยที่ยังขยายตัว โดยส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในกลุ่มกิจการขนาดกลาง ที่มีมูลค่าเงินลงทุนตั้งแต่ 20-500 ล้านบาท มีจำนวนรวมกันถึง 981 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 131 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามแนวโน้มการลงทุนในปี 2554 นี้ ยังคงต้องจับตามองเนื่องจากยังมีปัจจับลบที่จะมีผลกระทบต่อภาคการลงทุนของไทย เช่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงเปราะบาง ปัญหาความขัดแย้งทางสังคม เงินบาทแข็งค่า ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้ได้มอบให้บีโอไอ เร่งจัดกิจกรรมชักจูงการลงทุนเชิงรุกมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเป้าหมายทั้งกลุ่มนักลงทุนเดิม เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐ และยุโรป และนักลงทุนเป้าหมายใหม่ เช่น จีน อินเดีย ซึ่งจะมุ่งเน้นทั้งการส่งเสริมการลงทุน 2 ทางทั้งการส่งเสริมการลงทุนของไทยไปลงทุนในต่างประเทศ และการชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศมาไทย