กระทรวงอุตสาหกรรมหนุนรากหญ้า ยกระดับ OTOP เข้มแข็งอย่างยั่งยืน

พฤหัส ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๐๑๑ ๑๑:๔๙
กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลังหน่วยร่วมเร่งขับเคลื่อนโปรเจกต์ยักษ์ รับมือสภาวะเศรษฐกิจผันผวน อัดฉีดงบกว่า 100 ล้าน หนุนวิสาหกิจชุมชนสร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ หวังสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล

นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากสภาพปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศ ที่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ความเชื่อมั่นในการลงทุนและการบริโภคลดลง ภาคการผลิตส่วนใหญ่จำเป็นต้องลดกำลังการผลิตเพื่อลดต้นทุน หรือในบางรายจำเป็นต้องปรับลดคนงาน ส่งผลให้เกิดปัญหาการว่างงานจากภาคอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก ถึงแม้ว่า ขณะนี้ทิศทางของเศรษฐกิจไทยจะปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมีประชาชนที่ถูกเลิกจ้างกลับสู่ภูมิลำเนาจำนวนมากที่ยังมีความเดือดร้อน ไม่มีงาน ขาดรายได้ หรือในบางรายต้องห่างบ้าน ห่างครอบครัวเข้ามาหางานในตัวเมืองใหญ่ๆ ส่งผลให้เกิดปัญหาครอบครัว และเกิดการกระจุกตัวของประชากรที่สร้างความแออัดในสังคมเมืองมากขึ้น

ด้วยเหตุนี้ กระทรวง ฯ จึงได้มีแนวคิดที่จะสร้างแหล่งงานให้กับประชาชนในท้องถิ่น เพื่อให้มีช่องทางในการ ทำมาหากินในแผ่นดินเกิดของตน นำมาสู่การฟื้นฟูเศรษฐกิจให้สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ประกอบกับผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจฐานรากที่มีความสำคัญต่อประเทศอย่างไม่สามารถมองข้ามไปได้ หากแต่ยังขาดการพัฒนาระบบมาตรฐานการผลิต หรือการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด จึงได้ประสานแนวคิดกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย (กอ.นตผ.) และกระทรวงพาณิชย์ โดยได้จัดสรรงบประมาณดำเนินงานดังกล่าว รวมแล้วกว่า 100 ล้านบาท มอบให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเป็นผู้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการยกระดับภาคการผลิตให้มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานสากล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับจากผู้บริโภค รวมถึงการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย สวยงาม ตามนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เกิดเป็นความผสมผสานของไอเดีย และการตลาดอย่างลงตัว ตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด อันเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ และสร้างแรงจูงใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชุมชน นอกจากนี้ ยังต้องพัฒนาการบริหารจัดการหน่วยผลิตผลิตภัณฑ์ชุมชนให้มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างศักยภาพให้กับผลิตภัณฑ์ สามารถแข่งขันในตลาดได้ นำมาสู่ความเข้มแข็งของประชาชน ท้องถิ่น และประเทศชาติได้อย่างยั่งยืน

นายอาทิตย์ วุฒิคะโร อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2546 นับว่าเป็นกลไกหนึ่งของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความยากจน สร้างงาน สร้างอาชีพให้กับชุมชนได้เป็นอย่างดี ที่ผ่านมาได้จัดระดับผลิตภัณฑ์ OTOP เป็น 5 ระดับ อย่างไรก็ตาม กระบวนการส่งเสริมOTOP ก็ยังสามารถดำเนินการได้อยู่ในขอบเขตที่จำกัด คือ เมื่อผู้ประกอบการได้รับการคัดสรรเป็น 5 ดาวแล้ว ยังไม่มีการสนับสนุนส่งเสริมในระดับที่สูงขึ้น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จึงจัดให้มีโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการ OTOP เพื่อพัฒนาสู่ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการประกอบการในแต่ละชุมชน ส่งเสริมให้เป็นผู้ประกอบการมืออาชีพ มีการผลิต ที่มีคุณภาพมาตรฐาน บริหารจัดการที่ดี มีช่องทางการจำหน่ายของตนเอง โดยที่ยังคงไว้ซึ่งชุมชนท้องถิ่นและวัฒนธรรม โดยกลุ่มผู้ประกอบการจำนวน 140 กลุ่ม ทั้ง 70 จังหวัด จังหวัดละ 2 กลุ่ม จะต้องมีคุณสมบัติ คือ เป็นผู้ประกอบการ OTOP ที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบการประเภทกลุ่ม หรือชุมชนผู้ประกอบการรายเดียว ได้รับการคัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์ OTOP ระดับ 5 ดาว ได้รับการรับรองจากเครือข่าย OTOP ระดับจังหวัด และมีความต้องการที่จะพัฒนาไปสู่การประกอบการที่เป็นระบบและอาชีพหลัก จะพิจารณาจากกลุ่มผู้ประกอบการที่จะสามารถช่วยสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ สังคมหรือวัฒนธรรมให้เกิดในชุมชน ซึ่งจะมีหน่วยงานที่เข้าร่วม คือ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานเลขานุการคณะกรรมส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน และ คณะกรรมการบริหารเครือข่ายผู้ประกอบการ OTOP ระดับประเทศ และระดับจังหวัด ใช้ระยะเวลาดำเนินการมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 จะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2554 ใช้งบประมาณกว่า 22 ล้านบาท

นายอาทิตย์ฯ เผยอีกว่า เพื่อให้ภาคการผลิตผลิตภัณฑ์ชุมชน มีความแข็งแกร่ง ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานสากล สร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับจากผู้บริโภค รวมถึงการพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีความสวยงามเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้ร่วมกับสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ จัดทำระบบมาตรฐานการจัดการวิสาหกิจชุมชน โดยการประยุกต์ใช้เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับราษฎรในพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งแรงงานว่างงานที่กลับคืนถิ่น ได้ไม่น้อยกว่า 1,000 คน โดยมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท ต่อคน ต่อเดือน หรือมีรายได้รวมในปีแรกไม่น้อยกว่า 36 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้ราษฎรในพื้นที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ลดปัญหาการทิ้งถิ่นฐาน โครงการ จะเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน 2554 ใช้งบประมาณ 45 ล้านบาท โดยมีหน่วยงานร่วมดำเนินการ คือ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 — 11 กสอ. สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด พาณิชย์จังหวัด และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ทั่วประเทศ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version