นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2554 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ผ่านมา มีมติให้บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) ควบรวมกิจการกับ 3 บริษัทผู้ประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) ระดับแนวหน้าของประเทศไทย คือ บริษัท ซอฟต์สแควร์ กรุ๊ป (ผ่านการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer) ของบริษัทนอร์ธเทอร์นสตาร์ซอฟต์แวร์ จำกัด), บริษัท บิสซิเนส แอพพลิเคชั่น จำกัด และ บริษัท โมทีฟ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) (ผ่านการการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมด (Entire Business Transfer) ของบริษัท เมกัส จำกัด) เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับองค์กร รองรับโอกาสทางธุรกิจที่จะเข้ามาในอนาคตอันใกล้ ตามทิศทางการขยายตัวของธุรกิจยุค Regionalization ที่ภูมิภาคนี้ได้มีการขยับตัวแล้ว โดยจะมีการก่อตั้ง ASEAN Economic Community ในปี 2015 นี้ รวมถึง การเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างอุตสาหกรรมไอทีทั่วโลกที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ โดย MFEC GROUP มุ่งปรับปรุง และพัฒนาองค์กรให้เป็นสถาบันที่เข้มแข็งมีขนาดและศักยภาพที่จะเป็นผู้นำที่โดดเด่นในอุตสาหกรรม Software และ IT Services ของประเทศ นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นที่ยอมรับนับถือจากสาธารณะ และนักลงทุน โดยโครงการควบรวมกิจการดังกล่าวจะนำเสนอให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในเดือนเมษายนนี้
“แผนการควบรวมกิจการกับ 3 บริษัทพันธมิตรในครั้งนี้ เป็นการนำบริษัทฯ ที่โดดเด่นและเป็นผู้นำ ทางด้าน Software และ IT Services ชั้นนำของประเทศในแต่ละตลาดมารวมไว้ด้วยกัน ดังนั้น สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนหลังจากนี้ นอกเหนือจากการเติบโตแบบก้าวกระโดดแล้ว ยังจะทำให้ MFEC GROUP เป็นองค์กรที่เข้มแข็งเป็นผู้นำที่โดดเด่นในอุตสาหกรรม Software และ IT Services ของประเทศอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันยังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไอทีไทยให้แข่งขันได้ กับผู้ประกอบการอื่นๆ ในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี และจะส่งเสริมแผนการก้าวสู่ตลาดในระดับภูมิภาคและตลาดโลกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”
นายศิริวัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษัทซอฟต์ สแควร์ กรุ๊ป เป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการด้านการจัดหาและติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานให้กับองค์กรชั้นนำมานานกว่า 23 ปี มีลูกค้าทั้งในภาครัฐและเอกชนกว่า 300 ราย ทั้งในและต่างประเทศ ประการสำคัญ บริษัท ซอฟต์สแควร์ กรุ๊ป ยังเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ (ซอฟต์แวร์เฮ้าส์) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ผลิตโปรแกรมเมอร์ป้อนเข้าสู่ตลาดไอทีไทยมากกว่า 2,000 คนต่อปี ถือว่ามีบทบาทที่สำคัญในการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานด้านนี้ที่เป็นปัญหาอยู่ทั่วโลกและจะรุนแรงมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
ส่วนบริษัท บิสซิเนส แอพพลิเคชั่น จำกัด หรือ BAC เป็นผู้ประกอบธุรกิจให้บริการโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารมานานกว่า 16 ปี และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนจำหน่ายของ IBM อย่างเป็นทางการ โดยปัจจุบัน BAC ถือเป็นผู้ประกอบการอันดับหนึ่งในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียนในฐานะผู้ให้บริการเทคโนโลยี Cognos Business Intelligence Software ประกอบด้วยทีมงานกว่า 100 คนที่มีประสบการณ์ความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีเฉพาะทางนี้เป็นอย่างดี โดยมีลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่กว่า 200 รายในเกือบทุกภาคอุตสาหกรรม โดยแบ่งเป็นองค์กรภาครัฐจำนวน 70 ราย และเอกชนจำนวน 150 ราย
ในส่วนบริษัท โมทีฟ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทไทยแท้ผู้วิจัยและพัฒนาซอฟต์แวร์ ทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทคนไทยเอง ที่ใช้ในระบบงานโอเปอเรชั่นของสถาบันการเงินการธนาคาร งานกฎหมาย การบริหารองค์กรภาครัฐ ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 12 ปี มีวิศวกรทางด้านซอฟต์แวร์มากกว่า 100 คน และมีลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่กว่า 20 แห่ง
“ความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากที่เราร่วมงานกันมานานกว่า 3 ปี ทำให้เห็นทิศทาง Synergy ที่ชัดเจน โดยหลังการควบรวมกิจการจะผลักดันให้ BAC เป็นผู้ให้บริการ IT Services ที่โดดเด่นในตลาดระดับภูมิภาคได้ทันที ในขณะที่ซอฟต์สแควร์ฯ จะมีศักยภาพสูงขึ้นในการที่จะพัฒนาบุคลากรด้านไอทีที่มีคุณภาพเข้าสู่ตลาดมากถึง 5,000 คนภายในเวลา 5 ปี และโมทีฟ เทคโนโลยีฯ จะสามารถพัฒนาสินค้าที่เป็นซอฟต์แวร์และทรัพย์สินทางปัญญาสัญชาติไทยออกสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง โดย MFEC จะใช้ความแข็งแกร่งด้านการตลาด ที่มีทีมบุคลากรด้านการตลาดและการให้บริการที่มีคุณภาพ เข้ามาสนับสนุนด้านการขยายตลาด ซึ่งเชื่อว่าการผนึกกำลังกันในครั้งนี้จะทำให้บริษัทคนไทยมีศักยภาพ สามารถแข่งขันกับบริษัทไอทีข้ามชาติ โดยเราจะใช้ความเข้มแข็งและความเป็นผู้นำของตลาดในประเทศ ในการผลิตสินค้าและบริการ ทั้งนี้ MFEC GROUP วางเป้าหมายไว้อย่างชัดเจนว่าต้องการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างและการบริหารองค์กรให้กลายเป็น “สถาบัน” ที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน เป็นผู้นำในการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศไทย การสร้างงานที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในระดับท้องถิ่น และการกระจายรายได้ในประเทศเพื่อเป็นส่วนร่วมในการที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจ บริการเชิงสร้างสรรค์ หรือ Creative Service Economy ได้ และประการสำคัญจะช่วยส่งเสริมให้ตลาดซอฟต์แวร์เมืองไทยแข็งแกร่งขึ้น”
เขากล่าวอีกว่า หลังจากบริษัทฯ ผ่านการควบรวมกิจการในครั้งนี้ คาดว่าสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือจะช่วยผลักดันยอดขาย MFEC Group ในปีแรกให้ขยายตัวประมาณ 20% มาอยู่ที่ระดับ 3,500 ล้านบาทได้สำเร็จ ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้นมาก พร้อมทั้งมีกำลังพล (man-power) และการเข้าถึงตลาดได้ครอบคลุมทั่วประเทศไทยได้ในทันทีเลยทีเดียว
ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
IR PLUS : คุณจุฬารัตน์ เจริญภักดี(ฟ้า)
Tel. 02-554-9395 // E-mail : [email protected]