จากกรณีวิกฤตในลิเบียดังกล่าว นายปรีดี ดาวฉาย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย มองว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาในทันทีก็คือ สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีครึ่งเหนือ 119 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล จากปลายปีที่แล้วที่อยู่ที่ระดับประมาณ 95 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล กขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ซึ่งเดิมต่ำกว่าราคาน้ำมันเบรนท์ก็พุ่งขึ้นมาเหนือระดับ 100 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลแล้วในบางช่วงของปีนี้ นอกจากนี้ ความกังวลต่อสถานการณ์ที่เลวร้ายยังกระตุ้นให้นักลงทุนวิ่งหาสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย และทองคำที่เป็นหนึ่งในตัวเลือกก็กลับมายืนเหนือระดับ 1,400 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์แล้วในขณะนี้
ทั้งนี้ หากสถานการณ์ความไม่สงบยืดเยื้อ ลุกลาม และซับซ้อนมากขึ้น ผลกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมันโลกก็อาจลากยาวนานขึ้นตามไปด้วย และในกรณีเลวร้าย ราคาน้ำมันโลกก็อาจพุ่งเข้าใกล้ระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 147 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล หรือสูงกว่านั้น ซึ่งราคาน้ำมันที่ทะยานสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนั้น อาจส่งผลย้อนกลับมาสร้างความไม่แน่นอนให้กับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อที่เป็นขาขึ้นอยู่แล้วจากราคาอาหารให้เลวร้ายมากขึ้น จนอาจกลายเป็นภาวะ Global Stagflation ที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สวนทางกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น จนอาจทำให้ธนาคารกลางหลาย ๆ ประเทศ จำต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยขนาดที่รุนแรง ขณะที่กระแสการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ และค่าเงินบาทก็อาจมีความผันผวนมากขึ้นตามไปด้วย
สำหรับเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันนั้น ผลกระทบที่ได้รับจากเหตุการณ์ความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ น่าจะแบ่งออกเป็น 2 ด้าน โดยผลทางตรงต่อต้นทุนราคาพลังงานในประเทศจากภาวะราคาน้ำมันโลกที่พุ่งขึ้น อาจถูกลดทอนลงบางส่วนจากผลของมาตรการตรึงราคาพลังงานของรัฐบาล ที่ดูแลไม่ให้ราคาน้ำมันดีเซลเกินกว่าระดับ 30 บาทต่อลิตรไปจนถึงเดือนเมษายน ควบคู่ไปกับการขยายเวลาตรึงราคาก๊าซ LPG/NGV สำหรับภาคครัวเรือนและภาคขนส่งจนถึงเดือนมิถุนายน อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันโลกที่ยืนในระดับสูงต่อเนื่อง ย่อมเพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจโลก และส่งผลทางอ้อมกลับมาที่ภาคการส่งออก ดุลการค้า และเศรษฐกิจโดยรวมของไทยอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
สำหรับธนาคารแล้ว นายปรีดีมองว่า หากเหตุการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ สิ้นสุดลงได้โดยเร็ว ความเสี่ยงที่มีต่อเศรษฐกิจไทย ยังน่าจะอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ และไม่น่ากระทบต่อประมาณการเศรษฐกิจปี 2554 ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 4.0-5.0 ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทย แม้จะมีทิศทางเร่งตัวขึ้น แต่ก็ยังคงมีค่าเฉลี่ยของทั้งปี 2554 ไม่เกินร้อยละ 4.0
อย่างไรก็ดี คงจะต้องมีการทบทวนสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นระยะ ๆ ต่อไป โดยหากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ยืนระดับเหนือ 120 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรลไปอย่างต่อเนื่องไปตลอดทั้งปีแล้ว ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและทิศทางดอกเบี้ยก็อาจมีความรุนแรงขึ้นตามไปด้วย โดยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของทั้งปี 2554 อาจจะขึ้นไปถึงระดับร้อยละ 5.0 หรือสูงกว่านั้น ขณะที่การส่งออกของไทย ก็คงจะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก สวนทางกับการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นตามการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้ดุลการค้าของไทยในปี 2554 อาจกลับมาขาดดุลได้ รวมถึงอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยก็คงจะต่ำกว่าร้อยละ 4.0 ซึ่งเป็นกรอบล่างของประมาณการที่วางไว้เดิม