แนวทางแก้ปัญหาของบริษัท ไม้อัดไทย จำกัด (มอท.) ที่ถือหุ้นโดยองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) นั้น ขาดสภาพคล่องทางการเงินอย่างรุนแรง มีผลประกอบการขาดทุนเรื่อยมาตั้งแต่ปี 2541 และมีหนี้สินค้างชำระอีกกว่า 400 ล้านบาท ดังนั้นคณะกรรมการบริหาร อ.อ.ป.จึงมีมติให้ มอท.แก้ไขปัญหาตามแผนของที่ปรึกษาทางการเงิน ที่เสนอให้ มอท. ร่วมทุนกับภาคเอกชน ในสัดส่วน 49 : 51 โดย มอท.จะนำเครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมทั้งตราสินค้า “ช้างสามเชือก” ตีมูลค่าเป็นเงินลงทุนและขายให้บริษัทร่วมทุนในวงเงินประมาณ 100-150 ล้านบาท สำหรับที่ดินของที่ตั้งโรงงานจำนวนประมาณ 133 ไร่ จะให้เช่ากำหนดระยะเวลา 30 ปี คิดค่าเช่าเริ่มต้นประมาณ 17 ล้านบาทต่อปี และปรับเพิ่มทุก 3 ปี
ซึ่งในที่ประชุมได้มีมติให้ สคร. และกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กลับไปพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาผลขาดทุนของ มอท. โดยให้จัดทำแนวทางการจัดการ สินทรัพย์ หนี้สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับพนักงานของ มอท. ทั้งนี้ ให้นำนัยของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 84 (1) พิจารณาประกอบด้วย และให้กลับมานำเสนอในที่ประชุม กนร. ภายใน 3 เดือน
ในส่วนของแนวทางการปรับบทบาทการกำกับดูแลระบบขนส่งมวลชนขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่ประชุม กนร. มีมติ ดังนี้
1. เห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมทบทวนมติครม. วันที่ 11 มกราคม 2526 เรื่องนโยบายการเดินรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งจัดทำแผนการปรับบทบาทการกำกับดูแลและการดำเนินงานระบบการเดินรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานคร และนำกลับมาเสนอในที่ประชุม กนร. ต่อไป
2. เห็นชอบในการจัดหารถโดยสารใหม่ทดแทนรถโดยสารเก่าที่ปลดระวาง เสียหาย ซ่อมบำรุงไม่ได้ และมีอายุการใช้งานเกิน 17 ปีขึ้นไป ในจำนวนไม่เกิน 1,957 คัน ประกอบด้วยรถธรรมดา 1,579 คัน และรถปรับอากาศ 378 คัน ทั้งนี้ ให้ใช้บริการอุตสาหกรรมการต่อรถและซ่อมบำรุงรถในประเทศเป็นสำคัญ เพื่อส่งเสริมการจ้างงานภายในประเทศ นอกจากนี้ สคร. ยังได้เสนอให้มีการจัดประมูลเป็นการทั่วไป ในส่วนของเครื่องยนต์ และ แชสซีส์ (chassis) เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและยุติธรรมในกระบวนการสรรหา
ในส่วนของโครงการให้เอกชนเข้ามาร่วมงานในกิจการท่าเรือแหลมฉบังนั้น ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเสนอในการขอเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดในสัญญาประกอบการท่าเทียบเรือ A3, C1, C2, D2 และ D3 ท่าเรือแหลมฉบัง และได้มีมติเห็นชอบ
1. อัตราคิดลด (Discount Rate) ร้อยละ 10 ตามที่ บริษัท ฮัทชิสันฯ เสนอขอปรับการจ่าย
ผลประโยชน์ตอบแทน อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยพิจารณาเปรียบเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะเวลา 30 ปี (ประมาณ4%) ประกอบกับ risk premium ของอุตสาหกรรมที่เทียบเคียงกันได้ ซึ่งอยู่ในระดับประมาณ 5 — 6% ซึ่งทำให้มูลค่าปัจจุบัน (NPV) ของผลตอบแทนรวมตลอดอายุสัญญาไม่แตกต่างกัน
2. การขอขยายระยะเวลาการก่อสร้างท่าเทียบเรือชุด D (D1 D2 และ D3) จากเดิมที่จะแล้ว
เสร็จในปี 2554 เป็นปี 2560 จะไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการรองรับตู้สินค้าของ กทท. เนื่องจาก กทท. มี excess capacity เพียงพอ
อย่างไรก็ดี การเห็นชอบการแก้ไขสัญญาดังกล่าวจะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบต่อไป
นอกจากนั้น นายไตรรงค์ ยังได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการพิจารณาการจัดทำแผนธุรกิจเพื่อพลิกฟื้นฐานะทางการเงินของการเคหะแห่งชาติ ซึ่งมีปัญหาการขาดทุนและมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นจากการดำเนินโครงการบ้านเอื้ออาทร โดยที่ประชุมให้ความเห็นชอบแผนพลิกฟื้นองค์กรและความช่วยเหลือสำหรับ กคช. ดังนี้
1. เห็นชอบให้ กคช. ดำเนินธุรกรรมโครงการบ้านเอื้ออาทรไว้ที่ กคช.ต่อไป และเห็นชอบในหลักการลงทุนพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพ
2. เห็นชอบมาตรการอุดหนุนหรือชดเชยเพิ่มเติมจากรัฐสำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทรที่ยังคง
ไว้ที่ กคช. ดังนี้
2.1 การขอขยายวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนจากสถาบันการเงินเพิ่มเติมจากเดิม 780 ล้านบาท เป็น 2,240 ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้ออาคารคืนจากสถาบันการเงิน ในกรณีที่ผู้ซื้อขาดชำระติดต่อกัน 3 เดือน โดยรัฐรับภาระดอกเบี้ยที่เกิดจากการซื้อคืนแทน กคช.
2.2 การอุดหนุนเงินชดเชยดอกเบี้ยเพิ่มเติมที่เกิดขึ้น สำหรับหน่วยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่ยังไม่สามารถขายได้ตามจำนวนดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจริง จำนวน 297 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามมติ ครม. วันที่ 16 มิถุนายน 2552
2.3 การอุดหนุนชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับสินทรัพย์รอการพัฒนาในลักษณะเงินยืมดอกเบี้ยไม่เกิน 2 ปี เพื่อให้ กคช. พิจารณานำทรัพย์สินดังกล่าวจำหน่ายให้เกิดรายได้โดยเร็ว โดยให้ทบทวนวงเงินยืมให้เป็นไปตามมติ ครม. วันที่ 16 มิถุนายน 2552
3. การขอเสนอขายโครงการในลักษณะยกอาคารหรือขายทั้งโครงการ โดยสามารถขายให้ต่ำกว่า 390,000 บาท จะต้องไม่ต่ำกว่าราคาประเมินโดยบริษัทกลาง
ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวว่า สคร. จะประสานกับรัฐวิสาหกิจต่างๆ เหล่านี้ เพื่อติดตาม วิเคราะห์ และร่วมแก้ไขปัญหา ตลอดจนสนับสนุนการทำงานให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่เน้นความโปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก เพื่อความเจริญก้าวหน้าต่อไป
สื่อมวลชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อคุณวราภรณ์ อุดมไพศาล
หมายเลขโทรศัพท์ 02-298 5800 ต่อ 6753 มือถือ 081-928 7144
Email: [email protected]