การประกาศอันดับเครดิตของฟิทช์สะท้อนถึง แผนการควบรวมกิจการระหว่าง PTTCH และ PTTAR ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนหุ้นสามัญระหว่างผู้ถือหุ้นของ PTTCH และ PTTAR โดยไม่มีการซื้อหุ้นหรือการเพิ่มทุนจากทั้งสองบริษัท ทั้งนี้บมจ. ปตท. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทั้ง PTTCH และ PTTAR น่าจะมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการประมาณร้อยละ 49 ซึ่งใกล้เคียงกันกับสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัททั้งสองก่อนการควบรวมกิจการ
การควบรวมกิจการจะทำให้บริษัทมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีขึ้นจากความหลากหลายของสินค้าและวัตถุดิบที่มากขึ้น มีขนาดการดำเนินธุรกิจที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงมีสถานะทางการตลาดที่ดีขึ้น และช่วยเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจของบริษัทมากยิ่งขึ้น ฟิทช์คาดว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นทันทีจากการควบรวมกิจการคือการแลกเปลี่ยนสินค้าและผลิตภัณฑ์พลอยได้ (by product) ระหว่างกัน ในขณะที่บริษัทสามารถจะได้รับประโยชน์จากการวางแผนการผลิตทั้งระบบร่วมกันเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในกระบวนการผลิตอีกด้วย แม้ว่าการควบรวมกิจการจะทำให้อัตราส่วนทางการเงินต่างๆที่ใช้ในการพิจารณาอันดับเครดิตอ่อนแอลงเมื่อเทียบกับอัตราส่วนดังกล่าวของ PTTCH ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวน่าจะดีขึ้นในช่วงปี 2554 — 2555 เนื่องจากแผนการลงทุนที่อยู่ในระดับปานกลางและการคาดการณ์ว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ และแนวโน้มที่ดีขึ้นของทั้งธุรกิจปิโตรเคมีและธุรกิจการกลั่นน้ำมัน
บริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมกิจการนี้จะเข้าสวมสิทธิและรับภาระในสินทรัพย์ หนี้สิน ภาระผูกพันต่างๆ ทั้งหมดของทั้ง PTTCH และ PTTAR โดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ค่าตัดจำหน่าย และค่าเช่า (adjusted net debt to EBITDAR) ณ สิ้นปี 2553 ของบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมที่คำนวณไว้เบื้องต้น จะอยู่ที่ระดับ 3.2 เท่า (PTTCH 1.8 เท่า และ PTTAR 4.7 เท่า) ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิดังกล่าวของบริษัทใหม่นี้จะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 2.0 เท่า ภายในปี 2554 และต่ำกว่า 1.5 เท่า ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นไป หากการควบรวมกิจการดำเนินไปตามแผนที่วางไว้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจและแผนการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ฟิทช์คาดว่าจะจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของบริษัทใหม่นี้ที่ระดับ ‘A+(tha)’ ทั้งนี้อันดับเครดิตสุดท้ายของบริษัทใหม่ขึ้นอยู่กับผลสรุปของกระบวนการอนุมัติต่างๆ ต้นทุนที่เกี่ยวข้องในการควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนแปลงของการคาดการณ์ต่างๆ ทั้งในด้านผลประกอบการและแผนการลงทุนในอนาคต
เครดิตพินิจแนวโน้มเป็นบวกของ PTTAR สะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจและการเงินที่คาดว่าจะแข็งแกร่งขึ้นหลังจากการควบรวมกิจการ ในขณะเดียวกันการคงอันดับเครดิตของ PTTCH สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าอัตราส่วนทางการเงินต่างๆที่ใช้ในการพิจารณาอันดับเครดิตของบริษัทที่อาจจะอ่อนแอลงนั้น จะถูกชดเชยโดยสถานะในการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากการควบรวมกิจการ รวมถึงอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าวของบริษัทใหม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2554 — 2555
การควบรวมกิจการในครั้งนี้ ยังต้องขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น และจากเจ้าหนี้ต่างๆ ของทั้งสองบริษัท ฟิทช์คาดว่าอันดับเครดิตของ PTTAR จะได้รับการพิจารณาออกจากเครดิตพินิจเมื่อการควบรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นอันดับเครดิตของ PTTCH และ PTTAR จะถูกเพิกถอน ในขณะที่บริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบรวมจะได้รับการจัดอันดับเครดิตใหม่แทนต่อไป