นายเจริญ จันทร์พลังศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPOLY ผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระดับแนวหน้าของไทย เปิดเผยผลประกอบการปี 2553 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ว่าบริษัทฯ มีรายได้จากการรับเหมาก่อสร้าง 2,012 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 271ล้านบาท หรือร้อยละ 15.57 จากงวดเดียวกันของปี 2552 ที่มีรายได้จากการรับเหมาก่อสร้าง 1,741 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 84.11 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.23 บาท เพิ่มขึ้น 44.59 บาท หรือร้อยละ 112.83 จากปี 2552 ที่มีกำไรสุทธิ 39.52 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.11 บาท โดยปัจจัยหลักที่กำไรสุทธิปี 2553เพิ่มขึ้น เป็นผลจากต้นทุนงานรับเหมาก่อสร้างลดลง ส่งผลให้อัตรากาไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เพิ่มขึ้นจากงวดปีก่อนถึงร้อยละ 41.56 ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลงประมาณ 10 ล้านบาท คิดเป็นลดลงร้อยละ 10.31 เมื่อเทียบกับปี 2552 ที่ผ่านมา
ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2554 เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ที่ประชุมจึงมติ ให้บริษัทฯ จ่ายปันผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นสำหรับผลประกอบการงวดปี 2553 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2553 โดยจ่ายเป็นเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.0185 บาท และจ่ายเป็นหุ้นปันผลในอัตรา 6 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล คิดเป็นการจ่ายหุ้นปันผล 0.1667 บาท/หุ้น พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการยังมีมติให้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) ของบริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1 (TPOLY-W1) จำนวน 84 ล้านหน่วย อายุ 2 ปี ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 5 หุ้นเดิมต่อ 1วอร์แรนต์ โดยไม่คิดมูลค่า โดยมีอัตราการใช้สิทธิที่ราคาหุ้นละ 1.50 บาท ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติมติการจ่ายปันผลเป็นหุ้นตามที่คณะกรรมการเสนอ แต่ถ้าหากผู้ถือหุ้นลงมติไม่อนุมัติการจ่ายปันผลเป็นหุ้น ทางคณะกรรมการจะปรับสัดส่วนการจัดสรรวอร์แรนต์ใหม่เป็นอัตรา 30 หุ้นเดิมต่อ 7 วอร์แรนต์
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับโครงการจ่ายปันผลเป็นหุ้นและจัดสรรวอร์แรนต์ให้กับผู้ถือหุ้นโดยไม่คิดมูลค่าดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียน 144,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท โดยจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 60,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท เพื่อรองรับการจ่ายหุ้นปันผล และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 84,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสาคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทที่จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการได้กำหนดให้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้รับสิทธิปันผลในวันที่ 29 เม.ย. 2554 (Record date) ปิดสมุดทะเบียนเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นในวันที่ 03 พ.ค. 2554 และกำหนดวันที่ผู้ถือหุ้นได้รับสิทธิจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิในวันที่ 6 มิ.ย. 2554 (Record date) ปิดสมุดทะเบียนเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 มิ.ย. 2554โดยจะจัดประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 20 เมษายน 2554
เขากล่าวอีกว่า การจัดสรรผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นในครั้งนี้ถือเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงถึงอัตราร้อยละ 80 ของกำไรสุทธิ ในขณะที่บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ40 และคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ประมาณร้อยละ 18% โดยใช้ฐานของราคาหุ้นที่ 2.64 บาท เนื่องจากบริษัทฯ มีผลประกอบการที่ดี นอกจากนั้นยังเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้นที่มีอุปการคุณต่อบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา และการออกวอร์แรนต์ก็เพื่อระดมทุนรองรับการลงทุนในอนาคตทั้งธุรกิจใหม่ และในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประการสำคัญการระดมทุนเช่นนี้ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นมั่นใจในการใช้เงินของบริษัทฯ ว่าทุกบาททุกสตางค์จะมีโครงการเข้ามารองรับและเห็นทิศทางการเติบโตที่ชัดเจน และเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นได้ตัดสินใจว่าจะลงทุนเพิ่มในบริษัทฯ หรือไม่ตามระยะเวลาการใช้สิทธิแปลงสภาพวอร์แรนต์ตามที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งถ้ารวมผลตอบแทนของหุ้นปันผลและวอร์แรนต์ คิดเป็นผลตอบแทนที่ประมาณร้อยละ 26
"เราค่อนข้างมั่นใจว่าสูตรการตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นครั้งนี้สมเหตุสมผล ประการสำคัญมั่นใจได้ว่าจากทิศทางการเติบโตของธุรกิจที่เรากำหนดไว้ภายใน 2 ปีต่อจากนี้ จะทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดี สะท้อนให้กำไรต่อหุ้นเติบโตขึ้น ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกำไรต่อหุ้นแต่อย่างใด และที่สำคัญกว่านั้นการแปลงสภาพวอร์แรนต์เรากำหนดไว้ภายในระยะเวลา 2 ปี ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นภาพการลงทุนของบริษัทฯ คงจะชัดเจนและนักลงทุนสามารถตัดสินใจด้วยภาพธุรกิจที่เป็นจริงได้ว่าจะลงทุนเพิ่มด้วยการแปลงสภาพวอร์แรนต์หรือไม่" นายเจริญกล่าว
ทั้งนี้ บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) มีแผนจะลงทุนในธุรกิจพลังงาน ด้วยการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 9.5 เมกกะวัตต์ ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยใช้งบลงทุนประมาณ 700 ล้านบาท และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมรับรู้เป็นรายได้ในปี 2556 ปีละประมาณ 120 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ ถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในเวลาเพียง 6 ปี ส่วนหลังจากนั้นภายใน 3 ปีข้างหน้า บริษัทฯ เตรียมลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลอีก 3-4 โรงในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งบริษัทฯ มีความคุ้นเคยและเป็นแหล่งวัตถุดิบที่ดีสำหรับการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล
ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
IR PLUS : คุณปภาดา สุวรรณกูฏ (ตุ้ย) Tel. 02-5549394 E-mail : [email protected]