นายศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) (MFEC) เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้บริษัทฯ ควบรวมกิจการกับ 3 บริษัทผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ซอฟต์สแควร์กรุ๊ป โดยผ่านการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท นอร์ธเทอร์นสตาร์ซอฟต์แวร์ จำกัด บริษัท บิซิเนส แอพพริเคชั่น จำกัด และบริษัท โมทีฟ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) โดยผ่านการซื้อและรับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท เมกัส จำกัด เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับองค์กร ตลอดจนรองรับโอกาสทางธุรกิจที่จะเข้ามาในอนาคตนั้น เชื่อว่าภายหลังการควบรวมกิจการดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้รายได้ในปีแรกขยายตัวได้ 20% หรืออยู่ที่ 3,500 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิมีโอกาสเติบโตได้ถึง 3 เท่าตัว จากปี 2553 ที่บริษัทฯ ทำได้ 60-70 ล้านบาท เนื่องจากการควบรวมกิจการครั้งนี้ เป็นการนำจุดแข็งของแต่ละบริษัทเข้ามาสนับสนุนซึ่งกันและกัน ซึ่งนอกจากจะทำให้บริษัทฯ มีขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว ยังสามารถเพิ่มศักยภาพในการขยายธุรกิจ และทำให้ต้นทุนบางส่วนลดลง เพิ่มความคล่องตัวในการแข่งขันได้อีกทางหนึ่งด้วย
“การควบรวมกิจการกับ 3 บริษัทพันธมิตรในครั้งนี้ เป็นการนำบริษัทฯ ที่โดดเด่นและเป็นผู้นำทางด้าน Software และ IT Services ชั้นนำของประเทศในแต่ละตลาดมารวมไว้ด้วยกัน ดังนั้น สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนหลังจากนี้ นอกเหนือจากการเติบโตแบบก้าวกระโดดแล้ว ยังจะทำให้ MFEC GROUP เป็นองค์กรที่เข้มแข็งเป็นผู้นำที่โดดเด่นในอุตสาหกรรม Software และ IT Services ของประเทศอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันยังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไอทีไทยให้แข่งขันได้ กับผู้ประกอบการอื่นๆ ในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี และจะส่งเสริมแผนการก้าวสู่ตลาดในระดับภูมิภาคและตลาดโลกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เป็นที่ยอมรับนับถือจากสาธารณะ และนักลงทุน โดยโครงการควบรวมกิจการดังกล่าวจะนำเสนอให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในเดือนเมษายนนี้”
เขากล่าวอีกว่า หลังการควบรวมกิจการในครั้งนี้ MFEC GROUP ได้วางเป้าหมายจะปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างและการบริหารองค์กรให้กลายเป็น “สถาบัน” ที่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน เป็นผู้นำในการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศไทย การสร้างงานที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในระดับท้องถิ่น และการกระจายรายได้ในประเทศเพื่อเป็นส่วนร่วมในการที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจ บริการเชิงสร้างสรรค์ หรือ Creative Service Economy ได้ และประการสำคัญจะช่วยส่งเสริมให้ตลาดซอฟต์แวร์เมืองไทยแข็งแกร่งขึ้น โดยการดำเนินธุรกิจของทั้ง 3 บริษัทยังคงเป็นไปตามปกติ ไม่มีการปลดพนักงานแต่จะช่วยกันทำงานให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจไอทีและให้แข่งขันกับผู้ประกอบการในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างคล่องตัว
นายศิริวัฒน์ กล่าวต่อถึงแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 1/2554 ว่า ถือว่ามีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปลายปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ มีงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 1,800 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปีถัดไป ขณะเดียวกันในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้บริษัทฯ เตรียมเข้าประมูลงานใหม่ทั้งสิ้น 1,200 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงานรัฐวิสาหกิจ 800-900 ล้านบาท และงานเอกชนอีก 300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับงานดังกล่าวในสัดส่วน 700-800 ล้านบาท จากมูลค่างานรวมทั้งหมด โดยปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าหลักของบริษัทฯ จะมาจากกลุ่ม Telecom 35% banking 20% ภาครัฐ 25% และที่เหลือมาจากกลุ่มอื่นๆ
ทั้งนี้ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำปี 2553 ( 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2553) มีรายได้ 2,595 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 67.87 ล้านบาท หรือหุ้นละ 0.26 บาท และในการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 1/2554 ซึ่งประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 ระหว่างเวลา 13.00 น. ถึง 16.15 น.ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติการจัดสรรเงินสดปันผลโดยจ่ายจากผลกำไรสะสมของบริษัทจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท โดยจ่ายเงินสดปันผลในอัตรา 0.45 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 20 พฤษภาคม 2554 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 9 พฤษภาคม 2554 พร้อมกำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อเสนอมติดังกล่าวให้ผู้ถือหุ้นพิจารณาในวันที่ 25 เมษายน 2554
ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
IR PLUS : คุณจุฬารัตน์ เจริญภักดี(ฟ้า)
Tel. 02-554-9395 // E-mail : [email protected]