สืบเนื่องจากผลการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นบริษัทแกรนด์ แอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (“GRAND”) เมื่อปี 2549 ก.ล.ต. พบพยานหลักฐานน่าเชื่อว่า ในระหว่างวันที่ 15 มกราคม - 2 กรกฎาคม 2545 นายอภิชาติร่วมกับนางรัชนี นายกฤษฎา และนายปรีชา ซื้อขายหุ้น KARAT ผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางรัชนี บุคคลที่ใกล้ชิดกับนางรัชนี และนายกฤษฎา โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่นายอภิชาติได้ล่วงรู้มาจากการทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมที่ปรึกษากฎหมายของฝ่ายผู้ซื้อในการเข้าซื้อหุ้น KARAT จากกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และการทำคำเสนอซื้อเพื่อเพิกถอนหุ้น KARAT ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก่อนที่ข้อมูลนั้นจะเปิดเผยต่อประชาชนในวันที่ 3 กรกฎาคม 2545 โดยพบว่าบัญชีที่ใช้ซื้อขายหุ้น KARAT ที่กล่าวข้างต้น บางบัญชีเปิดขึ้นเพื่อซื้อขายหุ้น KARAT เพียงหุ้นเดียว และทุกบัญชีไม่เคยซื้อขายหุ้น KARAT ก่อนที่นายอภิชาตจะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายในธุรกรรมนี้ แต่เพิ่งจะมาซื้อขายและเพิ่มปริมาณการซื้อขายเป็นจำนวนมากในช่วงที่ข้อเท็จจริงเรื่องการซื้อหุ้น KARAT เพื่อครอบงำกิจการมีความชัดเจน โดยบุคคลทั้ง 4 รายได้ผลประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น KARAT เป็นจำนวนเงินกว่า 10 ล้านบาท
ก.ล.ต. เห็นว่าการกระทำของนายอภิชาตเข้าข่ายเป็นการซื้อขายหุ้นโดยอาศัยข้อมูลภายในที่เป็นการเอาเปรียบผู้ลงทุนอื่น ฝ่าฝืนมาตรา 241 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มีความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน โดยนางรัชนี นายกฤษฎา และนายปรีชาเข้าข่ายเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด มีความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ประกอบมาตรา 86 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ นายอภิชาติและนางรัชนีได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา ส่วนนายกฤษฎาไม่ติดต่อเพื่อขอชี้แจง และนายปรีชาไม่มีหลักฐานที่จะระบุตัวตนได้ว่าคือบุคคลใด ก.ล.ต. จึงกล่าวโทษนายอภิชาติกับพวกอีก 3 คนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ
อนึ่ง การกล่าวโทษเป็นจุดเริ่มต้นของการนำคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยกรณีดังกล่าวต่อไป