หลังจากที่อัลคาเทล-ลูเซ่นมีคุณสมบัติครบถ้วน ผ่านการทดสอบชุดอุปกรณ์กับกระทรวงอุตสาหกรรมและสารสนเทศ (Chinese Ministry of Industry and Information - MIIT) และไชน่าโมบายเรื่อยมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 ที่ผ่านมา จึงทำให้อัลคาเทล-ลูเซ่นได้รับความไว้วางใจให้ทดสอบการใช้งานบนเครือข่ายจริงในบริเวณ 6 เมืองใหญ่ ได้แก่ นครเซี่ยงไฮ้ ฮานซู นานกิง กวางเจา เซิ้นเจิ้น เซี้ยเมง และกรุงปักกิ่ง ซึ่งนับเป็นการทดสอบเครือข่าย 4G TD-LTE ตั้งแต่ต้นจนปลายเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก เครือข่ายนี้จะช่วยให้ไชน่าโมบายให้บริการระดับสูงแก่ลูกค้า ซึ่งรวมถึงการรับส่งสัญญาณ High definition video, 3D gaming, การรับส่ง FTP และการใช้อินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ความเร็วสูง และยังสามารถช่วยเชื่อมโยงอุตสาหกรรมใหม่ๆ ให้เข้าสู่การใช้แอลทีอีให้เป็นประโยชน์ได้มากขึ้น อาทิ อุตสาหกรรมรถยนต์และอื่นๆ ภายใต้โครงการนำร่อง ng Connect Program ที่เริ่มงานมานานกว่า 2 ปีแล้ว
มร. ราจี ซิงค์-โมล่าร์ ประธานแห่งเอเชียแปซิฟิคกล่าวว่า “การทดสอบครั้งนี้ถือเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญในตำแหน่งผู้นำของอัลคาเทล-ลูเซ่นและไชน่าโมบายด้านแอลทีอี ทั้งนี้ อัลคาเทล-ลูเซ่นมีความมุ่งมั่นในการจัดหาโซลูชั่นเทคโนโลยีแอลทีอีล่าสุดให้กับเครือข่าย 4G TD-LTE ตั้งแต่ต้นจนปลายเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะเป็นโซลูชั่นสำหรับคลื่นความถี่ 4G มาตรฐานโลกที่ใช้อยู่บน TDD spectrum และจากการทดสอบจะเห็นได้ว่าเครือข่ายนี้ทำงานเข้ากันได้ดีกับอุปกรณ์ปลายทางของผู้ใช้งานซึ่งนับเป็นความสำเร็จอย่างงดงามด้านความร่วมมือพัฒนาอุปกรณ์ต่างๆ แบบเปิด (Open TD-LTE ecosystem) ในระดับโลก”
ครั้งนี้เป็นการทดสอบการใช้งานในอาคารและนอกอาคารในคลื่นความถี่ 2.3GHz และ 2.6GHz โดยผ่านอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ตั้งแต่ต้นจนปลายเครือข่ายจากอัลคาเทล-ลูเซ่นซึ่งรวมถึงสถานีรับส่งสัญญาณแอลทีอี (eNodeBs) และอุปกรณ์ Evolved Packet Core (EPC)
ก่อนหน้านี้ ที่งานโมบายเวิร์ดคองเกรส อัลคาเทล-ลูเซ่นร่วมกับไชน่าโมบายและค่ายรถยนต์ออดี้ได้ทดสอบการใช้งานแอลทีอีจริงผ่านเครือข่าย Time Division Duplex (TDD) และ Frequency Division Duplex (FDD) ได้อย่างราบรื่น จนปัจจุบัน อัลคาเทล-ลูเซ่นได้ร่วมทดสอบการใช้งานเครือข่ายแอลทีอีกว่า 60 แห่งทั่วโลก จึงทำให้อัลคาเทล-ลูเซ่นได้รับการยอมรับในตำแหน่งผู้นำด้านแอลที่อีอย่างชัดเจน
มร. เบนจามิน คาร์ลาเกียน กรรมการผู้จัดการแห่งอัลคาเทล-ลูเซ่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ประเทศในเขตเอเชียแปซิฟิคได้ก้าวสู่โลกเครือข่ายแอลทีอีแล้ว เช่น เทลสตร้ามีแผนให้บริการแอลทีอีในเขตเมืองใหญ่ๆ ทั่วออสเตรเลียในปีนี้ ผู้ให้บริการยักษ์ใหญ่ทั้งสองออปต้สและโวดาโฟนฮัทชิสันออสเตรเลียได้ทดสอบแอลทีอีเรียบร้อยแล้ว ญี่ปุ่นผู้ล้ำสมัยด้านการสื่อสารเองก็ได้ใช้ 3G มานานแล้วและจะปรับมาใช้แอลทีอีเร็วๆ นี้ เกาหลีใต้มีความก้าวหน้าไม่แพ้ญี่ปุ่น โดยที่ผู้ใช้งาน 2G กำลังปรับก้าวมาใช้ 3G มากยิ่งขึ้นและมีแนวโน้มใช้งานแอลทีอีเร็วๆ นี้ ส่วนเพื่อนบ้านมาเลเซียจะเริ่มให้บริการแอลทีอีทันทีที่ได้รับการจัดสรรคลื่นความถี่เรียบร้อย ดังนั้น สำหรับประเทศไทยแล้ว อัลคาเทล-ลูเซ่นมีความมั่นใจสูงว่า เรากำลังจะก้าวไปสู่ 3G และ 4G แอลทีอีอย่างแน่นอน”
พบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอลทีอีได้ที่http://www.alcatel-lucent.com/lte
Alcatel-Lucent Press Contacts
นฤอร สังขจันทร์
Communication Arts Co., Ltd.
Email: [email protected]