ซึ่งสภาที่ปรึกษาฯ ได้เสนอความเห็นและข้อเสนอแนะเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2554 โดยก่อนหน้านี้
สภาที่ปรึกษาฯ ได้เข้าพบอุปทูตญี่ปุ่นนายทาเคชิ โอกาดะ เพื่อปรึกษาหารือถึงลักษณะและรูปแบบของความช่วยเหลือที่ประเทศญี่ปุ่นต้องการพร้อมมอบเงินช่วยเหลือความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ดังนี้
๑. รัฐบาลไทยควรนำเสนอให้ประเทศไทยเป็นแหล่งพำนักชั่วคราวเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจแก่ชาวญี่ปุ่นผู้ซึ่งประสบภัยพิบัติในครั้งนี้ มีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
๑) กลุ่มเป้าหมายชาวญี่ปุ่นที่จะมาพำนักในไทย เน้นกลุ่มผู้สูงอายุ เด็ก สตรี และครอบครัวคนไทยที่สมรสกับชาวญี่ปุ่น เป็นต้น โดยให้รัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกและจัดส่งผู้ประสบภัยดังกล่าว ซึ่งจะเป็นการแบ่งเบาภาระในการดูแลของรัฐบาลญี่ปุ่น อันจะทำให้เกิดความคล่องตัวในการฟื้นฟูประเทศได้สะดวกขึ้น
๒) แหล่งพำนักอาศัยของชาวญี่ปุ่นในไทยควรพิจารณาจากสถานที่พักของผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่เหมาะสมจะใช้เป็นที่พำนักระยะยาว (Long stay หรือ Home stay) โดยรัฐเป็นผู้สนับสนุนค่าที่พักในอัตราที่มีส่วนลดพิเศษสุด หรืออาจเลือกใช้สถานที่พักขนาดใหญ่ของรัฐที่มีสภาพดีและมีศักยภาพในการรองรับ เช่น หมู่บ้านนักกีฬา เป็นต้น หรืออาจใช้ความร่วมมือจากครอบครัวคนไทยในลักษณะโครงการครอบครัวไทยใจอาสารับผู้ประสบภัยญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างทั้งสองประเทศที่ดี ทั้งนี้ ไม่ควรก่อสร้างที่พำนักใหม่ และควรมีการตรวจสอบแหล่งที่พำนักเตรียมความพร้อมเพื่อการรองรับอย่างมีประสิทธิภาพ
๓) ระยะเวลาในการให้ความช่วยเหลือ ควรร่วมพิจารณากับรัฐบาลหรือหน่วยงานญี่ปุ่นเพื่อกำหนดกรอบที่เหมาะสม โดยอาจพิจารณาจากปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาแก่ชาวญี่ปุ่น เช่น ภูมิอากาศที่หนาวเย็น มลภาวะ แผนการควบคุมการรั่วไหลของกัมมันตรังสี แผนในการก่อสร้างบูรณะเมือง การขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า ที่พำนัก อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น ทั้งนี้ หากกรอบระยะเวลาดังกล่าวมีระยะเวลายาว รัฐบาลไทยอาจช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงต้น เช่น ในระยะ ๓-๖ เดือนแรก ส่วนระยะเวลาที่เหลือ รัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายเอง (ในราคาลดพิเศษสุด) หรืออาจอยู่ในรูปแบบความร่วมมือระหว่างสองประเทศ หรือ ประเทศอื่นๆ ร่วมสนับสนุนค่าใช้จ่ายก็ได้
๔) การเคลื่อนย้ายประชาชนชาวญี่ปุ่นสู่ประเทศไทย ควรเตรียมมาตรการในการออกวีซ่าที่เหมาะสม ทั้งระยะเวลา (เช่น ๑ ปี) กติกา ที่สะดวก รวดเร็ว รวมทั้งอาจพิจารณาให้กองทัพอากาศและกองทัพเรือไทยช่วยสนับสนุนการเคลื่อนย้าย
๕) การจัดตั้งศูนย์ในการบริหารจัดการความร่วมมือการให้ความช่วยเหลือฯ อย่างเป็นระบบ รัฐควรเปิดโอกาสให้เกิดการมีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือในด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างมีระบบ โปร่งใส ไม่ว่าจะเป็นความต้องการจากภาคส่วนต่างๆ ภายในประเทศไทยหรือจากต่างประเทศ เช่น ด้านสาธารณสุข การฟื้นฟูสภาพร่างกาย การผ่อนคลายสภาพจิตใจ การสนับสนุนเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการยังชีพ โดยหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน เป็นต้น ซึ่งการดำเนินการอย่างมีส่วนร่วมของไทยนี้สามารถทำได้ง่ายกว่าและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า หากชาวญี่ปุ่นมาพำนักในไทย
๖) รูปแบบของการให้ความช่วยเหลือต้องคำนึงถึงวัฒนธรรม ธรรมเนียมปฏิบัติ ค่านิยม และวิถีแนวคิดของชาวญี่ปุ่นที่มีต่อการรับความช่วยเหลือ ซึ่งต้องแสดงออกถึงการให้เกียรติแก่ผู้ประสบภัยด้วย
๒. การจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นในสาขาเฉพาะทางที่ประเทศไทยไม่มีความพร้อมซึ่งเป็นความต้องการทั้งในส่วนภาครัฐหรือภาคเอกชนไทย ให้เดินทางมาพำนักและทำงานในประเทศไทยชั่วคราว โดยอาจเป็นการช่วยเหลือผู้เชี่ยวชาญที่สังกัดในบริษัทหรือหน่วยงานที่เกิดผลกระทบจากภัยพิบัติในครั้งนี้ ทั้งยังเป็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นสู่ไทย
๓. ความร่วมมือทางวิชาการในการดำเนินงานวิจัยและการศึกษา ระหว่างสถาบันหรือหน่วยงานทางการศึกษาของไทยและญี่ปุ่น ซึ่งมีการวางแผนงานโครงการอยู่แล้ว ให้สามารถเริ่มดำเนินงานได้โดยทันทีหรือโดยเร็วก่อนกำหนดการเดิมที่วางไว้
๔. ออกมาตรการเชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่น เพื่อย้ายฐานการผลิตจากญี่ปุ่นมาประเทศไทย โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้าน IT รวมทั้งการวางแผนการบริหารจัดการแรงงานไทยเพื่อรองรับอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อนักลงทุนไทยด้วย
สำหรับปัญหาอันเกิดจากภัยธรรมชาติที่ประเทศไทยกำลังประสบอยู่ ณ ขณะนี้ ภาคใต้ประสบปัญหาอย่างรุนแรงสภาที่ปรึกษาฯ ตระหนักถึงความเดือดร้อนของพี่น้องภาคใต้ ซึ่งกำลังพิจารณาแนวทางการแก้ไขและให้ความช่วยเหลือในแต่ละพื้นที่ต่อไป
นางภรณี ลีนุตพงษ์ ได้เสนอความเห็นเพิ่มเติม เกี่ยวกับปัญหากรณีจังหวัดนครศรีธรรมราช สรุปได้ ดังนี้
๑. การรณรงค์ตลอดจนป้องกันปราบปรามการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า จะช่วยป้องกันปัญหาน้ำท่วมและดินถล่มได้รวมทั้งการปลูกฝังการอนุรักษ์ธรรมชาติ ปลูกจิตสำนึกให้คนในพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติ
๒. ควรอนุรักษ์ให้ป่าพรุควนเคร็ง เป็นพื้นที่รองรับน้ำ ควรมีทำนบดินเพื่อให้น้ำอยู่ในพื้นที่ป่าพรุ ไม่ปล่อยให้ประชาชนเข้ามาทำการเกษตร เพราะจะมีการระบายน้ำออกจากพื้นที่ ทำให้ป่าพรุควนเคร็ง ขาดความชุ่มน้ำ ซึ่งเดิมพื้นที่ดังกล่าวเป็นแก้มลิงธรรมชาติ เมื่อน้ำท่วมขังแล้วจะไหลลงทะเลตามธรรมชาติ
๓. ควรกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับพื้นที่ที่เหมาะสม และไม่เหมาะสมในการปลูกพืช เช่น ไม่ให้ปลูกพืชในพื้นที่ลุ่มกำหนด Zoning ในการปลูกพืช เพื่อลดการบุกรุกป่าเข้าไปในพื้นที่ชุมน้ำ
๔. ควรมีการจัดทำผังเมืองและระบบระบายน้ำของชุมชน มีการจัดการลำน้ำสาขาที่อยู่ในพื้นที่ เพื่อให้เป็นที่ระบายน้ำ รวมทั้งออกกฎหมายควบคุมอาคารและมีการจัดการที่เข้มงวด