บทความโดยนายสุนิล ชวาล ผู้อำนวยการกลุ่มซอฟต์แวร์และโซลูชั่นคลาวด์บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
การไปเยือนสิงคโปร์ในช่วงสั้นๆ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา นายฮิว โยชิดะ รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (ซีทีโอ) บริษัท ฮิตาชิ ดาต้า ซิสเต็มส์ ได้คาดการณ์แนวโน้ม 10 อันดับแรกที่เกี่ยวข้องกับระบบจัดเก็บข้อมูลในปี 2554 และหนึ่งในแนวโน้มดังกล่าวคือการคาดการณ์ว่า ระบบคลาวด์จะได้รับการยอมรับให้เป็นโมเดลโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถใช้งานได้จริง และนายสุนิล ชวาลได้ใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญที่มีเพื่อช่วยคุณเผยความลับของระบบจัดเก็บข้อมูลเสมือนจริงก่อนที่คุณจะเสี่ยงเข้าไปในโลกของระบบคลาวด์ ด้วยการนำเสนอในสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำในการปรับใช้ระบบคลาวด์ให้ประสบผล การปรับใช้ในลักษณะใดที่ดีที่สุดสำหรับคุณ และคุณจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบคลาวด์ได้อย่างไร
เมื่อถามว่าระบบคลาวด์คืออะไร อาจมีบางคนบอกว่าก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ เป็นแค่คำพูดที่เกินจริงในแวดวงอุตสาหกรรมเท่านั้น ขณะที่นักคิดอาจตอบว่าสิ่งนี้คืออนาคตของไอที แต่สำหรับผมแล้ว ผมเชื่อว่าระบบคลาวด์จะมีศักยภาพอย่างมากสำหรับประเภทใหม่ๆ ของบริการด้านไอทีตามความต้องการ (ออนดีมานด์) ที่มีความคล่องตัวสูง
ในการก้าวเข้าสู่บริการด้านไอทีตามความต้องการนั้น ลูกค้าจะสามารถรับรู้ถึงประโยชน์ของระบบคลาวด์ได้โดยใช้เวลาไม่นานนัก สิ่งสำคัญที่สุดประการแรกที่ลูกค้าสามารถรับรู้ได้ก็คือการประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก โดยเมื่อพิจารณารายจ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) แล้ว องค์กรต่างๆ มีแนวโน้มที่จะจ่ายมากเกินไปสำหรับการจัดการกับความต้องการที่ผันผวนสำหรับระบบจัดเก็บข้อมูลและทรัพยากรที่ใช้ในการสนับสนุนทางธุรกิจ ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ในส่วนฮาร์ดแวร์ได้อย่างเต็มที่ จะเห็นได้ว่าความสามารถของระบบแบบคลาวด์ก็คือ การขยายและย่อขนาดทรัพยากรของระบบจัดเก็บข้อมูลได้อย่างสอดคล้องกับความต้องการทางธุรกิจ ลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนส่วนหน้าให้เหลือน้อยที่สุด และสามารถโยกย้ายจาก "ต้นทุนคงที่" ไปเป็น "ต้นทุนผันแปร" ได้
ลูกค้าสามารถลดรายจ่ายด้านการลงทุน ได้อย่างมากด้วยการปรับใช้โมเดลต่างๆ ของระบบคลาวด์ สามารถจ่ายเฉพาะในส่วนที่พวกเขาใช้งานจริงและกำจัดงานบริหารจัดการในแต่ละวันได้อย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าการเข้าถึงทรัพยากรด้านการประมวลผลตามต้องการนั้นจะเป็นสิ่งที่อุตสาหกรรมกำลังต้องการอยู่ แต่ก็อาจสร้างความกังวลและความเสี่ยงต่อองค์กรด้านไอทีได้ ซึ่งจะส่งผลต่อกระบวนการและการบริหารจัดการทางด้านธุรกิจได้อย่างมาก ถ้าผู้ใช้ในภาคธุรกิจเริ่มต้นด้วยการจัดจ้างผู้ให้บริการระบบคลาวด์ภายนอกเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนที่เร็วขึ้น ข้อมูลสำคัญของพวกเขาก็อาจตกอยู่ในภาวะเสี่ยงได้ และเพื่อบรรเทาความเสี่ยงดังกล่าว องค์กรด้านไอทีจึงควรหันมาพัฒนาสถาปัตยกรรมแบบคลาวด์ภายในองค์กรขึ้นเพื่อสร้างความคล่องตัวให้กับธุรกิจของตน ขณะที่การประมวลผลโครงการเฉพาะกิจก็อาจจัดจ้างผู้ให้บริการระบบคลาวด์ สาธารณะหรือแบบผสมได้ วิธีนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถย้ายเข้าสู่ระบบคลาวด์ในลักษณะที่สามารถควบคุมและบรรเทาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมาก
สำหรับการย้ายเข้าสู่ระบบคลาวด์นั้น มีตัวเลือกการปรับใช้หลักๆ อยู่สามตัวเลือก ได้แก่ ระบบคลาวด์แบบส่วนตัว แบบผสม และแบบสาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการเริ่มก้าวเข้าสู่ระบบคลาวด์ของคุณด้วยโมเดลการปรับใช้ที่เหมาะสม
เพื่อความเข้าใจโดยง่าย ให้มองระบบคลาวด์ส่วนตัวเป็นโครงสร้างพื้นฐานแบบคลาวด์ที่อยู่ภายในผนังของศูนย์ข้อมูล ระบบคลาวด์ส่วนตัวสามารถสร้างประโยชน์ได้อย่างมากโดยที่ไม่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเหมือนกับการปรับใช้แบบสาธารณะ เนื่องจากระบบนี้จะสามารถเข้าถึงได้ผ่านทางเครือข่ายภายในหรืออินทราเน็ต ข้อมูลของคุณจึงมีความปลอดภัยสูง โดยคุณสามารถควบคุมสิ่งดังกล่าวและสภาพแวดล้อมต่างๆ (เช่น เครือข่าย เซิร์ฟเวอร์ และอื่นๆ) ได้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถบรรลุข้อตกลงของระดับการให้บริการ (SLA) ในระดับองค์กรได้ด้วย แต่คุณอาจต้องพบกับค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงานบางอย่าง เช่น พื้นที่อาคาร ไฟฟ้า และระบบระบายความร้อน เว้นแต่ว่าคุณจะปรับใช้บริการที่มีการจัดการ แต่กระนั้นคุณก็ยังจะต้องมีค่าใช้จ่ายด้านการจัดการอยู่ดี
ผมเชื่อว่าในระยะเวลาอันสั้นนี้ โมเดลการปรับใช้ระบบคลาวด์แบบส่วนตัวจะได้รับความสนใจจากองค์กรต่างๆ เป็นอย่างมาก เนื่องจากสามารถกำจัดอุปสรรคที่สำคัญสองประการในการนำระบบคลาวด์เข้ามาใช้ได้ นั่นคือ การรักษาความปลอดภัยและประสิทธิภาพการดำเนินงาน นอกจากนี้โครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ยังเหมาะสมที่จะอยู่ภายในศูนย์ข้อมูลองค์กรด้วย จะเห็นได้ว่าแพลตฟอร์มระบบจัดเก็บข้อมูลแบบปรับขนาดได้ อย่าง HDS Virtualized Storage Platform (VSP) ได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้การปรับใช้ระบบคลาวด์แบบส่วนตัวสำหรับระบบจัดเก็บข้อมูลประสบผลสำเร็จได้
เมื่อพิจารณาระบบคลาวด์แบบผสมหรือแบบเชื่อถือได้ เราจะกำหนดให้ระบบนี้เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นของผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้ ในกรณีนี้ การเข้าถึงจะถูกจำกัดเฉพาะทรัพยากรที่เหมาะสมภายในองค์กรของคุณเท่านั้น และจะได้รับการส่งผ่านทางเครือข่ายเสมือนส่วนตัว (Virtual Private Network) หรือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัย เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานอยู่นอกการควบคุมโดยตรงขององค์กร ระดับการให้บริการจึงอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่างๆ นอกจากนี้ ลูกค้ายังต้องคำนึงถึงด้านความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมการทำงานจริงอีกด้วย ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญในการเข้าใจกระบวนการและข้อกำหนดในการเข้าถึงบริการของผู้ให้บริการได้อย่างแท้จริง
และท้ายสุดคือระบบคลาวด์แบบสาธารณะอาจเหมือนกับระบบแบบผสม เพียงแต่จะสามารถเข้าถึงบริการได้มากกว่าผ่านทางอินเทอร์เน็ตที่ซึ่งมีความปลอดภัยอย่างจำกัด ข้อเสนอของระบบคลาวด์แบบสาธารณะอาจมีราคาไม่สูงนักหรือในบางครั้งอาจไม่มีค่าใช้จ่ายเลย และโดยทั่วไปแล้ว ระดับการให้บริการหรือ SLA มักจะไม่ได้รับการรับรองหรือมีเกณฑ์การวัดที่ต่างจากขององค์กรขนาดใหญ่ที่ใช้ในการวัดระดับ SLA ของตน นอกจากนี้ บริการและคุณลักษณะแบบมูลค่าเพิ่ม เช่น การเข้ารหัสลับ การบีบอัด การสำรองข้อมูล การแบ่งระดับชั้น และการจำลองแบบ เหมือนอย่างผู้ให้บริการระบบคลาวด์แบบส่วนตัวหรือแบบผสม ก็อาจไม่มีให้ใช้งานได้จากผู้ให้บริการสาธาราณะ
แล้วจะสร้างระบบคลาวด์แบบไหนดี
ไม่ว่าจะเป็นคลาวด์รูปแบบใด ระบบคลาวด์พื้นฐานทั้งหมดควรมีคุณลักษณะสำคัญบางประการ โดยอันดับแรกคือการเชื่อมต่อโดยตรงที่ปลอดภัยเพื่อเรียกใช้ข้อมูลภายในระบบคลาวด์ เช่น อินเตอร์เฟส REST หรือเส้นทางที่จะเชื่อมต่อแอพพลิเคชั่นกับคลาวด์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดให้กับแอพพลิเคชั่นใหม่ นอกจากนี้ ยังต้องสามารถแบ่งปันทรัพยากรกับผู้ใช้จำนวนมาก (multitenancy) ด้วยการแยกส่วนข้อมูลออกมาได้ ดังนั้น SLA ต้องสามารถกำหนดให้กับชนิดข้อมูลหรือแอพพลิเคชั่นที่เฉพาะเจาะจงได้ นอกจากนี้ ระบบคลาวด์ยังต้องมีเนมสเปซที่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงและชั้นความปลอดภัยเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ตาม ระบบคลาวด์บางอย่างอาจนำเสนอคุณลักษณะที่มีมูลค่าเพิ่ม (ขึ้นอยู่กับผู้บริการ) อย่างการบีบอัดและการสร้างชุดข้อมูลเดียวเพื่อช่วยในด้านการประหยัดค่าใช้จ่าย การเข้ารหัสลับเพื่อสร้างความปลอดภัยที่ดีขึ้น และการเรียกเก็บเงินหรือค่าบริการขององค์กรหรือ ผู้ให้บริการที่ต้องการเรียกเก็บจาก แต่ละหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ตามการใช้งานจริง
ในสถานการณ์ที่คุณอาจต้องแลกเปลี่ยนบางอย่างกับรูปแบบการปรับใช้ระบบคลาวด์ที่หลากหลาย คุณจะสามารถเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปรับใช้ได้อย่างไร ในการเริ่มต้นใช้งาน ให้ลองพิจารณาขั้นตอนการปรับใช้แบบแบ่งช่วง คุณไม่จำเป็นต้องกระโดดเข้าไปใช้อย่างเต็มตัวในตอนแรก อย่างน้อยควรลองทดสอบการใช้งานดูก่อน เริ่มด้วยการระบุข้อมูลในสภาพแวดล้อมของคุณที่โดยทั่วไปมักจะมีมูลค่าทางธุรกิจต่ำและมีความต้องการ SLA ในระดับต่ำเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ชนิดข้อมูลที่ใช้ร่วมกันไดเรกทอรีโฮม ข้อมูลคงที่ หรือเนื้อหาที่เป็นสำเนาสำรองที่สามารถย้ายจาก "ที่จัดเก็บหลัก" ในองค์กร ไปยังที่จัดเก็บ "สำรอง" ของระบบคลาวด์ได้
คุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ทันทีด้วยการย้ายข้อมูลดังกล่าว ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่จำเป็นต้องได้รับการจัดการแบบแอ็คทีฟหรือเป็นข้อมูลที่มีการเข้าถึงแบบอ่าน/เขียนแบบคงที่ไปไว้ยังระบบคลาวด์ คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินในด้านบริหารและจัดการระบบที่มีราคาสูงให้กับข้อมูลที่ไม่ได้มีความสำคัญทางธุรกิจ สิ่งนี้จะช่วยคุณได้อย่างมาก อย่างแรกคือเพิ่มทรัพยากรที่จะช่วยสนับสนุนแอพพลิเคชั่นหลักของธุรกิจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและการใช้ประโยชน์สินทรัพย์ที่มีอยู่ของคุณ สำหรับประโยชน์ข้อต่อมาก็คือองค์กรของคุณจะสามารถใช้และพัฒนาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการปรับใช้ระบบคลาวด์ได้ และข้อสุดท้ายก็คือคุณจะสามารถมุ่งไปยังแอพพลิเคชั่นหลักระดับ 1 ในลักษณะที่คุณต้องการได้
โซลูชั่นการแบ่งระดับชั้นไฟล์แบบส่วนตัวจะช่วยคุณแบ่งระดับของข้อมูลที่ไม่ได้ใช้งานออกจากระบบจัดเก็บข้อมูลแบบคลาวด์ โดยระบบจัดเก็บข้อมูลแบบคลาวด์สามารถอยู่ภายในศูนย์ข้อมูลของคุณได้ ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพการดำเนินงานเนื่องจากระบบคลาวด์อยู่ภายใต้ไฟร์วอลล์บริษัทของคุณนั่นเอง
จะเห็นได้ว่าองค์กรต่างๆ ต้องการความคล่องตัวด้านไอทีเพื่อรักษาฐานที่มั่นของตนในตลาดที่มีการแข่งขันสูงปัจจุบัน และเพื่อให้บรรลุแนวทางดังกล่าว ระบบคลาวด์จึงอาจเป็นรูปแบบบริการตามต้องการที่สามารถสนับสนุนความต้องการทางธุรกิจปัจจุบันของคุณได้ ขณะที่ยังสามารถให้ระบบพื้นฐานที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับศูนย์ข้อมูลในอนาคตได้อีกด้วย
นายสุนิล ชวาลมีประสบการณ์กว่า 15 ปีในอุตสาหกรรมไอทีโดยผ่านงานด้านฝ่ายขายและการตลาดองค์กรรวมถึงการพัฒนาธุรกิจในตลาดเศรษฐกิจใหม่ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย ก่อนที่จะเข้ามาร่วมงานกับบริษัท ฮิตาชิ นั้น สุนิลได้ทำงานร่วมกับบริษัท ออราเคิล เพื่อพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและย่อมในภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้ สุนิลได้เคยทำงานกับบริษัท อินเตอร์วูฟเวน อิงค์. ซึ่งเป็นธุรกิจด้านการบริหารจัดการเนื้อหาองค์กรชั้นนำ ในตำแหน่งผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียใต้ ในช่วงเวลาดังกล่าวเขาได้พัฒนาธุรกิจสำหรับบริษัท อินเตอร์วูฟเวน ในอินเดีย จากนั้นได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการประจำประเทศอินเดีย โดยก่อนที่จะเข้าร่วมงานกับบริษัท อินเตอร์วูฟเวนนั้น สุนิลเคยทำงานกับบริษัท เอ็มฟาซิส ซอฟต์แวร์ (บริษัทในกลุ่มอีดีเอส) ในตำแหน่งผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียใต้ โดยสุนิลมีความเชี่ยวชาญอย่างมากในอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน โทรคมนาคม และสายการบินสำหรับภูมิภาคนี้ และเขายังมีประสบการณ์เชิงลึกในด้านการปรับใช้กลยุทธ์การจัดการเนื้อหาได้อย่างครอบคลุมทั้งองค์กรอีกด้วย
สอบถามรายละเอียด กรุณาติดต่อ:
คุณศรีสุพัฒ เสียงเย็น ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์
บริษัท คอร์แอนด์พีค จำกัด โทร. 02 439 4600 ต่อ 8300
อีเมล์ [email protected]