ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Constructions Association: THCA) เปิดเผยผลสำรวจสถิติผู้บริโภคที่ปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ ในช่วงไตรมาสแรกปี 2554 เกี่ยวกับแหล่งที่มาของ “เงินลงทุนสร้างบ้าน” หรือที่มาของเงินค่าก่อสร้างบ้านมาจากแหล่งใดระหว่าง 1.เงินออม 2.เงินกู้ยืมธนาคารระยะยาว รวมถึงศึกษาผลการสำรวจสถิติที่เกี่ยวเนื่องว่ามีสัดส่วนแตกต่างกันอย่างไร รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ต่อกรณีการลงทุนสร้างบ้านหลังใหม่ควรเลือกวิธีใด โดยสมาคมฯ ได้ทำการสำรวจและรวบรวมสถิติ เฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่ใช้บริการกับบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ ทั่วประเทศเท่านั้น ซึ่งผลสำรวจสามารถแบ่งสัดส่วน ได้ดังนี้
- ผู้บริโภคใช้เงินกู้ยืมธนาคารระยะยาว สัดส่วนคิดเป็น 56%
- ผู้บริโภคใช้เงินออม สัดส่วนคิดเป็น 44%
ทั้งนี้จากสถิติดังกล่าว ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ สมาคมฯ ได้ศึกษารายละเอียดเฉพาะในสัดส่วนของผู้บริโภค ที่กู้ยืมธนาคารระยะยาว เพื่อปลูกสร้างบ้านนั้น มาจากกลุ่มใดระหว่าง 1.ผู้บริโภคที่ตัดสินใจเลือกสร้างบ้านในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล (กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี) 2.ผู้บริโภคที่ตัดสินใจเลือกสร้างบ้านในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งจากผลสำรวจพบว่าผู้บริโภคที่ตัดสินใจเลือกสร้างบ้านในพื้นที่ต่างจังหวัดสูงถึง 80% หรือสามารถแบ่งออกเป็น
- กู้ยืมเงินเพื่อปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล คิดเป็น 20%
- กู้ยืมเงินเพื่อปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ในต่างจังหวัด คิดเป็น 80%
นอกจากนี้ สัดส่วนผู้บริโภคที่กู้ยืมเงินเพื่อปลูกสร้างบ้านหลังใหม่พื้นที่ต่างจังหวัด สมาคมฯ ได้ทำการแบ่งตามลักษณะพื้นที่ในแต่ละภูมิภาค พบว่าในเขตภาคกลางและภาคตะวันออก มีสัดส่วนเติบโตมากที่สุด หรือคิดเป็น 60% รองลงมา ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คิดเป็น 27% ทั้งนี้สามารถแบ่งสัดส่วนออกตามพื้นที่แต่ละภูมิภาคทั่วประเทศ ตามลำดับได้ดังนี้
- ภาคเหนือ สัดส่วนคิดเป็น 7%
- ภาคกลางและภาคตะวันออก สัดส่วนคิดเป็น 60%
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สัดส่วนคิดเป็น 27%
- ภาคใต้ 7%
นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน กล่าวว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จากอดีตลูกค้าหรือผู้บริโภคกลุ่มที่ใช้บริการกับบริษัทรับสร้างบ้าน มักนิยมเลือกออมเงินก่อนจะสร้างบ้านหลังใหม่ และส่วนใหญ่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่ในปัจจุบันผู้บริโภคกลุ่มที่มาใช้บริการมีอายุน้อยลง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป- 35 ปี ถือว่ามีจำนวนมากที่สุด และหันมาเลือกกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินหรือธนาคารแทนการออมเงิน เหตุผล มาจาก 1.ผู้บริโภคมีความรู้เกี่ยวกับการกู้ยืมมากขึ้น 2.ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ยืมได้สะดวกยิ่งขึ้น 3.ผู้บริโภคต้องการได้บ้านหรือที่อยู่อาศัยเร็วขึ้น 4.ผู้บริโภคมองว่าดอกเบี้ยที่จ่ายคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับค่าก่อสร้างที่แพงขึ้นทุกปี
จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปดังกล่าว กอปรกับแรงสนับสนุนจากบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำและธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ในการที่จะทำให้การกู้ยืมเงินเป็นเรื่องไม่ยุ่งยากและอัตราดอกเบี้ยต่ำ ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อเพื่อสร้างบ้านหลังใหม่ ในกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบกับสัดส่วนการใช้เงินออมเพื่อสร้างบ้านหลังใหม่
ที่ผ่านมาสมาคมฯ ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมๆ กับพยายามผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างสมาคมฯ กับธนาคารชั้นนำ หากแต่ก็มีอุปสรรคอยู่บ้างเนื่องจากสมาคมไทยรับสร้างบ้าน เป็นสมาคมใหม่ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นไม่ครบ 1 ปี ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือจึงอาจไม่เป็นที่ยอมรับกับสถาบันการเงินมากนัก ทำให้บางธนาคารไม่ได้สนใจที่จะสนับสนุนสินเชื่อ ให้แก่กลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการสร้างบ้านกับสมาชิกสมาคมฯ มากนัก ซึ่งมีเพียงธนาคารไทยพาณิชย์ที่เป็นผู้สนับสนุนหลัก แต่เชื่อว่าในอีก 6-12 เดือนข้างหน้านี้ เมื่อมีสมาชิกเพิ่มขึ้นและมีแชร์ส่วนแบ่งตลาดรวมรับสร้างบ้านทั่วประเทศเพิ่มขึ้น สมาคมฯ คงจะได้รับความสนใจมากขึ้นตามมา
นายสิทธิพร นายกสมาคมฯ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันสมาคมฯ มีบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกจำนวน 18 รายมาจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และอยู่ระหว่างพิจารณาผู้สมัครเข้ามาใหม่อีก 3 ราย (ต่างจังหวัด 2 ราย ปริมณฑล 1 ราย) ทั้งนี้อาจมองว่าสมาคมฯ จะจัดตั้งมาแล้ว 6 เดือนเศษ ทำไมสมาชิกมีจำนวนไม่มากนัก เหตุผลเป็นเพราะสมาคมฯ เน้นคุณภาพของสมาชิกมากกว่าจำนวนหรือปริมาณ ผู้สมัครบางรายสมาคมฯ ไม่อาจรับเป็นสมาชิกได้เพราะไม่ผ่านเกณฑ์ข้อบังคับที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น ผู้สมัครบางรายผลประกอบการหรือรายได้ต่ำผิดปกติ ซึ่งขัดแย้งกับจำนวนผลงานที่ผู้สมัครส่งมาพร้อมใบสมัคร (มีผลงานสร้างบ้านจำนวนมาก) ซึ่งแม้ว่าจะก่อตั้งบริษัทมานานหลายปีแล้วก็ตาม หรือกรณีจะมาอ้างว่าเป็นสมาชิกสมาคมอื่นมาแล้ว สมาคมฯ ก็ไม่ได้นำมาเป็นเครื่องชี้วัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความโปร่งใสของตัวผู้สมัครเอง เรื่องนี้ถือเป็นนโยบายสำคัญของสมาคมฯ ในการคัดกรองก่อนรับเป็นสมาชิก ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องทำธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคสังคม และประเทศชาติ