นายบัณฑิต โชติวรรณพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TCC เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทไตรมาส 1/2554 บริษัทมียอดขาย 249 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 170% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 2553 ที่มียอดขาย 92 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 19.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 330% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2553 ที่มีกำไรสุทธิ 4.6 ล้านบาท โดยการเติบโตดังกล่าวมาจากการที่บริษัทมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ควบคู่กับอุตสาหกรรมถ่านหินที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“บริษัทถือว่าประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องของยอดขาย และความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพมาอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากบริษัทจะไม่ตกขบวนรถไฟของการเติบโตในอุตสาหกรรมถ่านหินแล้ว บริษัทยังสามารถเร่งความเร็วในการสร้างฐานลูกค้าใหม่เพิ่มมากขึ้น และยังคงสามารถรักษาสัดส่วนการสั่งซื้อจากลูกค้ารายเดิมได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยอดขายและกำไรดังกล่าวในไตรมาส 1 เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของปีนี้เท่านั้น เพราะยอดดังกล่าวยังไม่ได้เกิดจากการรับรู้รายได้จากโรงงานคัดแยกถ่านหินแห่งที่ 2 ที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2เป็นต้นไป และเชื่อว่าจะส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาส 2 ออกมาเป็นการเติบโตที่ก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน” นายบัณฑิต กล่าว
สำหรับโรงงานคัดแยกถ่านหินแห่งที่ 2 ตั้งอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีกำลังการผลิตสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 6 หมื่นตัน โดยขณะนี้มีคำสั่งซื้อแล้วประมาณกว่า 30% ของกำลังการผลิต ซึ่งคาดว่าในไตรมาส 2 บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากโรงงานแห่งนี้ไม่ต่ำกว่า 50% ของกำลังการผลิต ทำให้เป็นไปได้ว่าในช่วงกลางปีบริษัทมีแนวโน้มที่จะปรับประมาณการณ์รายได้ทั้งปีเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมที่ 1,000 ล้านบาท ตามการเติบโตที่เกิดขึ้น
กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมถ่านหินว่า ในปัจจุบันอุตสาหกรรมถ่านหินมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ยมีอัตราการเติบโตปีละประมาณ 30% โดยจะเห็นได้จากการนำเข้าถ่านหินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นความต้องการใช้ภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากสถานการณ์พลังงานทางหลักอย่างน้ำมันที่มีการปรับตัวทางด้านราคามาอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีที่ท่าว่าจะชะลอตัวแต่อย่างใดในระยะนี้ ตลอดจนพลังงานทดแทนอย่างก๊าซธรรมชาติที่ยังมีปัญหาในเรื่องของราคาเช่นกัน ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องมีการพยุงราคาไว้ ดังนั้นพลังงานถ่านหินจึงถือเป็นพลังงานทางเลือกที่ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการประกอบธุรกิจโดยส่วนใหญ่ที่จำเป็นต้องใช้พลังงานในการผลิต เพราะนอกจากจะสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ในเรื่องของราคายังถือว่าอยู่ในระดับราคาที่ผู้ประกอบการสามารถบริหารต้นทุนได้เป็นอย่างดี
“ตอนนี้ถือเป็นวิกฤตด้านพลังงานก็ว่าได้ เพราะทั้งราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง เนื่องจากปริมาณการผลิตของโอเปกที่ไม่เพิ่มขึ้น ควบคู่กับปัญหาของตะวันออกกลางที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก๊าซที่ถือเป็นพลังงานทดแทนในอันดับรองลงมาก็ยังคงมีปัญหาเรื่องราคาเช่นกัน ดังนั้นถ่านหินถือเป็นพลังงานทางเลือกที่นอกจากจะเข้ามาทดแทนพลังงานหลักแล้วยังมีราคาที่ไม่สูง ซึ่งช่วงเวลาปัจจุบันถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ผู้ประกอบการหลายรายได้ตัดสินใจเปลี่ยนและหันมาใช้ถ่านหินเพื่อการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว
เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์โดย บริษัท มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์ จำกัด ในนาม
บมจ.ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น : รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
โทร: 02-664-4233 Fax : 02-664-4232