ดร.ชาคริต ศึกษากิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่านโยบายการดำเนินธุรกิจจากนี้ แม้ว่าโรงพยาบาลจะมีกลุ่มลูกค้าคนไทยอยู่เป็นสัดส่วนถึง 80% และต่างประเทศ 20% แต่เวชธานีก็มีนโยบายที่จะขยายตลาดคนไทยมากขึ้น เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ลูกค้าคนไทย ซึ่งปัจจุบันมีรายได้จากคนไทย 55% ต่างชาติ 45% โดยในระยะยาวต้องการจะเพิ่มรายได้จากคนไทยให้เพิ่มขึ้น 80%
นอกจากการให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพและบริการ รวมถึงการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง และขยายตลาดปากต่อปากรวดเร็วแล้ว ยังมีแผนจะใช้งบฯ การตลาดมากขึ้น ควบคู่กับแนวทางดังกล่าวยังมีแผนจะใช้งบฯ ลงทุนอีก 150 ล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่ให้บริการศูนย์กุมารเวชกรรม และศูนย์การรักษาโรคมะเร็ง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนมาก นอกเหนือจากศูนย์กระดูกและข้อ ศูนย์เบาหวาน และศูนย์หัวใจ ที่ได้รับการยอมรับอยู่แล้ว
“เราอยากได้ลูกค้าคนไทย แต่ว่าแบรนด์ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนไทย เมื่อเทียบกับแบรนด์ใหญ่อื่นๆ แต่ระยะหลัง เมื่อมีลูกค้าต่างชาติเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น จึงทำให้กลุ่มลูกค้าคนไทยเริ่มให้การยอมรับและเข้ามารับบริการมากขึ้น แต่ก็อยากได้มากกว่านี้”
ดร.ชาคริต กล่าวว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลมีคนไข้นอกเข้ามารับบริการวันละ 1,000 คน คนไข้ในกว่า 100 เตียง จากจำนวนเตียง 120 เตียง ซึ่งพื้นที่ให้บริการเริ่มต้นแคบและไม่สามารถขยายพื้นที่โรงพยาบาลออกได้อีก จึงสนใจที่จะลงทุนเปิดสาขาใหม่หรือลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพ โดยตอนนี้มีที่ดินอยู่บ้างและอยู่ระหว่างศึกษาดีมานด์ของตลาด
นอกจากนี้ยังมีแผนการนำโรงพยาบาลเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2556 ขณะนี้มีความพร้อมและอยู่ระหว่างการปรับองค์กรให้สอดคล้องกับระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.)
ดร.ชาคริต กล่าวว่าตลาดต่างประเทศเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ลูกค้าต่างชาติที่บินเข้ามารักษามีการเติบโตทุกปี เฉลี่ย 10-20% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่บินเข้ามารักษา หลัก ๆ มาจากตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิวซีแลนด์ ยุโรป ซึ่งแนวทางจากนี้ยังคงโฟกัสไปที่ตลาดเดิม เนื่องจากเป็นตลาดที่มีความคุ้นเคยกับเมืองไทยและคนไทย รวมถึงคุ้นเคยกับโรงพยาบาลเวชธานีดีอยู่แล้ว
“ไตรมาสแรกที่ผ่านมา เวชธานีมีการเติบโต 20 % เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเชื่อว่าสิ้นปีนี้จะเติบโตได้ 30 % หรือมีรายได้ 1,500 ล้านบาท”