การใช้โทษปรับตามรายได้แทนจำคุก

จันทร์ ๐๖ มิถุนายน ๒๐๑๑ ๑๕:๑๔
ทีดีอาร์ไอเสนอใช้โทษปรับตามรายได้แทนจำคุก เพื่อป้องปรามการทำความผิดซ้ำในคดีอาญาไม่ร้ายแรง และสร้างความยุติธรรมระหว่างคนรวย-คนจน

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์และนายสุนทร ตันมันทอง จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยได้ นำเสนอบทความวิจัยเรื่อง การใช้โทษปรับในการลงโทษผู้กระทำผิดทางอาญา โดยมีสาระสำคัญคือ การปรับเป็นเครื่องมือการลงโทษที่เป็นตัวเงิน ซึ่งมีผลในการถ่ายโอนเงินจากผู้กระทำความผิดมาสู่รัฐ เมื่อเปรียบเทียบกับโทษจำคุกแล้ว โทษปรับมีข้อดีกว่าหลายประการคือ ประการแรก การใช้โทษปรับมีต้นทุนในการบริหารจัดการไม่สูงเท่าโทษจำคุก ซึ่งใช้งบประมาณสูงมาก ประการที่สอง สังคมไม่ต้องสูญเสียทรัพยากรมนุษย์จากการได้รับโทษจำคุก ประการที่สาม โทษปรับไม่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อผู้กระทำความผิดรุนแรงเหมือนโทษจำคุก ซึ่งมักสร้าง “ตราบาป” ที่ติดตัวไปตลอดชีวิต

ด้วยเหตุผลดังกล่าว เราจึงสมควรนำโทษปรับมาใช้แทนโทษจำคุกให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ความผิดที่กระทำขึ้นนั้น ไม่ใช่ความผิดอุกฉกรรจ์ เช่น การฆ่าคนตายหรือทำร้ายร่างกาย ซึ่งทำให้ต้องกันตัวผู้กระทำความผิดออกจากสังคมเพื่อไม่ให้กระทำผิดซ้ำอีก แต่น่าเสียดายที่ ในปัจจุบัน โทษปรับไม่ได้เป็นทางเลือกอย่างแท้จริงแทนโทษจำคุกในประเทศไทย แต่กลับมีลักษณะเสริมโทษจำคุก เช่นมักใช้โทษปรับเมื่อมีการรอลงโทษจำคุก สาเหตุหนึ่งอาจเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า โทษปรับโดยลำพังไม่มีประสิทธิผลในการป้องปรามการทำผิดซ้ำ และความเชื่อที่ว่า โทษปรับจะสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจน เพราะคนรวยมีความสามารถในการจ่ายค่าปรับมากกว่า

คณะวิจัยเสนอว่าควรนำ “ค่าปรับตามรายได้ (day fines)” มาใช้ในประเทศไทย เพื่อทดแทนโทษจำคุกในกรณีที่มีการทำความผิดที่ไม่ใช่ความผิดอุจฉกรรจ์ โดยการลงโทษปรับตามรายได้ เป็นทางเลือกหนึ่งในการลงโทษที่ถูกใช้อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลดีในหลายประเทศในยุโรป เช่น สวีเดนและเยอรมนี โดยมีการศึกษาสนับสนุนว่า โทษปรับที่สูงพอ สามารถป้องปรามการกระทำความผิดซ้ำได้

โทษปรับตามรายได้แตกต่างจากโทษปรับทั่วไปคือ นอกจากค่าปรับจะสอดคล้องตามความร้ายแรง หรือความหนักเบาของความผิดแล้ว ยังขึ้นอยู่กับรายได้ของผู้กระทำความผิดอีกด้วย ค่าปรับตามรายได้ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาความสมดุลระหว่างประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ และความเป็นธรรมของคนที่มีระดับรายได้ต่างๆ กัน จึงน่าจะเหมาะสำหรับประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูง เช่น ประเทศไทย ซึ่งผู้ที่รายได้สูงสุดร้อยละ 20 มีรายได้มากกว่าผู้ที่รายได้ต่ำสุดร้อยละ 20 ถึงประมาณ 12-15 เท่า โทษปรับตามรายได้จึงสามารถป้องปรามคนทุกระดับรายได้ในการทำความผิดได้อย่างเท่าเทียมกัน นอกจากนี้ การใช้ค่าปรับตามรายได้ยังมีข้อดีอีกประการหนึ่งคือ ค่าปรับจะถูกปรับเพิ่มตามอัตราเงินเฟ้อเกือบอัตโนมัติ เพราะค่าจ้างแรงงานของคนกลุ่มต่างๆ มักจะถูกกำหนดโดยขึ้นอยู่กับระดับค่าครองชีพอยู่แล้ว ทำให้ค่าปรับอยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ

กระบวนการบังคับโทษปรับตามรายได้ มีขั้นตอนต่างๆ 4 ขั้นตอน คือการคิดคำนวณค่าปรับตามความร้ายแรงของการกระทำ การประเมินรายได้สุทธิที่แท้จริงของผู้กระทำความผิด การจัดเก็บค่าปรับและการกำหนดวิธีการลงโทษเสริม

1) การคิดคำนวณค่าปรับ มีการดำเนินการใน 2 ขั้นตอน คือหนึ่ง กำหนดหน่วยวันปรับ (day-fine unit) ตามความร้ายแรงของการกระทำความผิด และสอง คำนวณรายได้สุทธิต่อวัน เพื่อคำนวณหาค่าปรับทั้งหมด เช่น สวีเดน กำหนดค่าหน่วยวันปรับในช่วง 1-120 วัน สำหรับฐานความผิดเดียวและไม่เกิน 180 วัน สำหรับหลายฐานความผิด ในขณะที่เยอรมนีกำหนดค่าหน่วยวันปรับในช่วงที่กว้างกว่าคือ 5 - 360 วันและสูงสุดไม่เกิน 720 วัน เป็นต้น ซึ่งเป็นการให้กรอบแก่ศาลในการใช้ดุลพินิจตัดสินตามสภาพการณ์ของแต่ละคดีได้

2) การประเมินรายได้สุทธิต่อวันของผู้กระทำความผิด มีสองประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ สูตรในการคำนวณรายได้ต่อวันและวิธีการหาข้อมูลทางการเงินของผู้กระทำความผิด รายได้ต่อวันของผู้กระทำความผิดที่ประเทศต่างๆ นำมาประเมินเพื่อกำหนดค่าปรับ มักจะเป็นรายได้สุทธิ ซึ่งหมายถึงรายได้ทั้งหมดหักด้วยรายจ่ายที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ถูกปรับสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ โดยไม่เดือดร้อนมากเกินไป ในทางปฏิบัติ แต่ละประเทศที่ใช้โทษปรับตามรายได้มีสูตรในการคำนวณหารายได้สุทธิต่อวันแตกต่างกันออกไป

ไม่ว่าจะเลือกใช้แนวคิดใด ขั้นตอนที่ต้องดำเนินการต่อไปคือ การประมาณการรายได้ทั้งหมดของผู้กระทำความผิด ซึ่งต้องอาศัยอำนาจศาลในการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของผู้กระทำความผิด เช่น ข้อมูลการเสียภาษี หรือมิฉะนั้นก็ต้องใช้ข้อมูลจากการสอบสวนของตำรวจหรือการไต่สวนของศาลเอง เพื่อให้ทราบว่าผู้กระทำผิดมีอาชีพอะไร และมีรายได้เท่าใด ขั้นตอนนี้มีความท้าทาย 2 ประการคือ ประการแรก ผู้กระทำความผิดไม่น้อยมีรายได้มาจากกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย หากละเลยส่วนนี้จะทำให้ค่าปรับตามรายได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ในทางปฏิบัติ ศาลจึงต้องพิจารณาวิถีชีวิตของผู้กระทำผิดและประวัติการก่อคดีประกอบด้วย ประการที่สอง ในประเทศกำลังพัฒนาเช่นประเทศไทย ประชาชนจำนวนมากมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการทำงานในภาคเศรษฐกิจนอกระบบ ซึ่งทำให้ไม่มีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือในการประมาณการรายได้

3) การจัดเก็บค่าปรับ ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาในการจัดเก็บค่าปรับก็คือ การกำหนดระยะเวลาที่สมเหตุผลในการจ่ายค่าปรับ โดยต้องพิจารณาทั้งความร้ายแรงของการกระทำความผิดและความสามารถในการชำระค่าปรับของผู้กระทำผิด เช่น การให้ผ่อนชำระค่าปรับจะทำให้ผู้กระทำความผิดรู้สึกถึงการลงโทษที่น้อยกว่าการให้ชำระค่าปรับทั้งหมดทันที ในขณะเดียวกัน สำหรับผู้ที่มีฐานะยากจน หากศาลกำหนดให้ต้องชำระโทษปรับทั้งหมดในครั้งเดียวทันที ก็อาจทำให้เกิดความเดือดร้อน หรือต้องรับโทษอื่นๆ เช่น การกักขังหรือการบริการสังคมแทน

4) การลงโทษเสริม ในการบังคับโทษปรับ มีความเป็นไปได้ที่ผู้กระทำผิดจะไม่มีความสามารถในการชำระค่าปรับ เช่น มีฐานะยากจนแต่กระทำความผิดที่ต้องเสียค่าปรับในระดับสูง เป็นต้น กรณีเช่นนี้จะเป็นปัญหาหากเราต้องการให้ใช้โทษปรับตามรายได้แทนการจำคุก เนื่องจากอาจทำให้ผู้กระทำผิดที่มีรายได้ต่ำต้องถูกกักขังแทน หากไม่มีการลงโทษเสริมที่เหมาะสม ตัวอย่างสำหรับการลงโทษเสริมที่มีการบังคับใช้กันในต่างประเทศคือ การให้ทำงานบริการชุมชน (community service) ตามเวลาที่กำหนด โดยในกรณีที่มีการนำบทลงโทษดังกล่าวมาใช้เสริมโทษปรับตามรายได้ ก็จะต้องกำหนด “อัตราแลกเปลี่ยน” ระหว่างการลงโทษเสริมดังกล่าวและค่าปรับ

สำหรับข้อจำกัดของการใช้โทษปรับตามรายได้ ประสบการณ์ที่ผ่านมาในต่างประเทศชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดที่สำคัญบางประการ ดังนี้

1. โทษปรับตามรายได้ไม่สามารถใช้ทดแทนโทษจำคุกได้อย่างสมบูรณ์ในทุกกรณี แต่จะเหมาะสมกับการใช้เพื่อทดแทนโทษจำคุกในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า เรายังคงต้องคงโทษจำคุกไว้ในกรณีที่มีการทำความผิดอุจฉกรรจ์ไว้ต่อไป เพื่อป้องกันสังคมจากการกระทำผิดของอาชญากร

2. แม้โทษปรับตามรายได้จะมีประสิทธิผลมากในการป้องปรามการกระทำความผิดของผู้มีรายได้สูงก็ตาม ก็อาจมีข้อจำกัดในการป้องปรามผู้มีรายได้น้อยไม่ให้กระทำความผิดได้ เพราะค่าปรับอาจอยู่ในระดับต่ำกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมากเกินไป

3. อาจมีข้อโต้แย้งว่า โทษปรับตามรายได้ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม เนื่องจากลงโทษผู้กระทำความผิดแต่ละรายในฐานความผิดเดียวกันแตกต่างกันตามสถานะทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจมีผลเป็นการเลือกการปฏิบัติ และถูกโต้แย้งว่าขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

กล่าวโดยสรุป การศึกษาของคณะผู้วิจัยให้ข้อเสนอแนะว่า ประเทศไทยควรนำเอาโทษปรับตามรายได้มาใช้คดีอาญาที่ไม่ร้ายแรง ซึ่งจะสามารถลดต้นทุนในการลงโทษผู้กระทำความผิด และสามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในการบังคับใช้โทษปรับกับคนที่มีรายได้แตกต่างกันมากได้ นอกจากนี้ การใช้โทษปรับควรได้รับการหนุนเสริมด้วยโทษบริการสังคมในกรณีที่ผู้กระทำความผิดไม่สามารถชำระค่าปรับได้ ส่วนโทษจำคุกนั้น ควรใช้เฉพาะในกรณีที่มีการทำความผิดร้ายแรงเท่านั้น

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๐๗ มี.ค. กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จับมือ วิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก ปั้นแรงงานโลจิสติกส์ พร้อมลุยตลาดงาน
๐๗ มี.ค. คปภ. จับมือเครือข่ายพันธมิตรประกันภัย เปิดเวทีเสวนา ตื่นรู้ ปรับเปลี่ยน รับความเสี่ยงภัยจากสภาพภูมิอากาศในโลกใหม่ที่ต้องเผชิญ
๐๗ มี.ค. Carbon Markets Club ร่วมขับเคลื่อนตลาดคาร์บอนอาเซียน ผสานพลังภาครัฐและพันธมิตร สู่โครงสร้างมาตรฐานสากล
๐๗ มี.ค. เคอี กรุ๊ป ร่วมแสดงความยินดี คุณอัจฉรา บุรารักษ์ เนื่องในโอกาสเปิดร้านรส'นิยม (Ros'niyom)
๐๗ มี.ค. จังซีลอน ร่วมสนับสนุนการจัดงานมหกรรมกีฬาและดนตรี Air Sea Land Phuket 2025
๐๗ มี.ค. อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ สำรวจพบร่องรอย เมืองโบราณอีกเมือง ตั้งซ้อนทับ เมืองเก่านครราชสีมา
๐๗ มี.ค. กทม. นำร่องติดตั้งเสากั้นหน้าแพลตตินัม ประตูน้ำ ลดปัญหารถรับจ้างจอดแช่-แก้ปัญหาการจราจรติดขัด
๐๗ มี.ค. Lady Gaga ทวงบัลลังก์ราชินีป็อปแดนซ์ในอัลบั้มใหม่ MAYHEM ที่ทุกคนรอคอย ชวน Little Monsters ชาวไทย ฉลองคัมแบ็กสุดยิ่งใหญ่ ในงาน LADY GAGA - MAYHEM PARTY IN BANGKOK 19 มีนาคม ที่ BEEF
๐๗ มี.ค. DITP จัดกิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านการค้าระหว่างประเทศของไทย พร้อมเปิดตัวโลโก้ใหม่ภายใต้แนวคิด 3E CREATE POSSIBILITIES สร้างโอกาสการค้าไทยสู่ตลาดโลก 12
๐๗ มี.ค. Metal Valley จับหุ่นยนต์สุดน่ารัก ขุดแร่ สร้าง NFT เกมเรือธงจากความร่วมมือของ Extend Games, Bitkub Chain และ JFIN Chain เปิด Early Access แล้ววันนี้ บน Windows, Android และ