1) รายนางสาวปกิตตา เฉียบแหลม
ก.ล.ต. ได้รับรายงานการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนจากบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ว่า นางสาวปกิตตายอมรับว่าตั้งแต่ปี 2550 ถึงเดือนสิงหาคม 2553 ได้ซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของลูกค้า เนื่องจากทราบว่าลูกค้าไม่ตรวจสอบบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ และเมื่อมีผลขาดทุนหรือมีการชำระค่าซื้อหลักทรัพย์ก็จะฝากเงินเข้าบัญชีของลูกค้า รวมทั้งขอใช้บัญชีลูกค้าเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อตนเองโดยหวังรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ทำให้ลูกค้าเกิดความเสียหาย 2 - 3 ล้านบาท นอกจากนี้ยังยอมรับว่าในปี 2551 ได้แจ้งลูกค้าว่าได้สิทธิจองซื้อหลักทรัพย์เพิ่มทุนที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือหุ้นเดิม ทั้งที่ไม่มีหลักทรัพย์นั้นในบัญชีลูกค้าแล้ว โดยให้ลูกค้าโอนเงินเข้าบัญชีของลูกค้าเพื่อจองซื้อ แต่กลับนำเงินดังกล่าวไปซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อตนเอง
การกระทำดังกล่าว ก.ล.ต. พิจารณาแล้วเห็นว่านางสาวปกิตตามีการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ซื่อสัตย์สุจริตโดยกระทำการทุจริต ฉ้อโกงทรัพย์สินของผู้ลงทุน และนำทรัพย์สินของผู้ลงทุนไปใช้ประโยชน์โดยมิชอบและไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ โดยได้ใช้บัญชีผู้ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อตนเอง
2) รายนายสายัณห์ เผื่อคง
ก.ล.ต. ได้รับรายงานการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนจากบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) ซึ่งพบว่า นายสายัณห์ส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของลูกค้า โดยไม่มีที่มาของคำสั่ง และก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท บริษัทจึงให้ออกจากการเป็นพนักงาน และจากการตรวจสอบของ ก.ล.ต. พบข้อเท็จจริงว่า นายสายัณห์รับดูแลบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ให้ลูกค้า โดยใช้ password ที่ลูกค้ามอบให้ในการส่งคำสั่งซื้อขายในบัญชีอินเทอร์เน็ต และได้ส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ของตนเองและบุคคลอื่นในบัญชีของลูกค้า รวมทั้งมีการกู้ยืมเงินมาใช้เพื่อดำเนินการดังกล่าวโดยที่นายสายัณห์เป็นตัวกลางในการรับจ่ายเงิน ซึ่งนายสายัณห์กระทำการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ลูกค้าเปิดบัญชีและมีการซื้อขายเป็นมูลค่ามากกว่า 800 ล้านบาท ในช่วงระยะเวลา 6 เดือน ส่งผลให้นายสายัณห์ได้รับประโยชน์จากค่าตอบแทน (incentive) ในสัดส่วนที่สูงมาก
ก.ล.ต. พิจารณาแล้วเห็นว่า นายสายัณห์มีการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ซื่อสัตย์สุจริตและแสวงหาผลประโยชน์จากผู้ลงทุนโดยอาศัยโอกาสในการปฏิบัติงาน และไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ โดยได้ใช้บัญชีผู้ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อตนเองหรือบุคคลอื่นและยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ลงทุน
การกระทำของอดีตผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนทั้งสองราย เป็นการปฏิบัติไม่เป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติงานตามข้อ 14 (1) และ 14 (2) แห่งประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ที่ สข. 49/2552 เรื่อง การให้ความเห็นชอบผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนและมาตรฐานการปฏิบัติงาน ลงวันที่14 ตุลาคม 2552 ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงจนไม่สมควรให้เป็นผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนต่อไป ซึ่งโดยปกติ
ก.ล.ต. จะสั่งเพิกถอนการให้ความเห็นชอบเป็นผู้ติดต่อกับผู้ลงทุน แต่เนื่องจากปัจจุบันบุคคลทั้งสองรายมิได้มีสถานะเป็นผู้ติดต่อกับผู้ลงทุนแล้ว เนื่องจากไม่ได้ต่ออายุการได้รับความเห็นชอบตามที่ประกาศกำหนด ก.ล.ต จึงบันทึกพฤติกรรมดังกล่าวไว้เป็นประวัติ และอาจใช้พฤติกรรมดังกล่าวเป็นเหตุในการปฏิเสธไม่ให้ความเห็นชอบเป็นบุคลากรในธุรกิจตลาดทุน กรณีรายนางสาวปกิตตา เป็นเวลา 10 ปี
และรายนายสายัณห์ เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2554 เป็นต้นไป