ด้วยเหตุดังกล่าว ธนาคารขอเรียนแจ้งว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นทั้งของธนาคารและ SICCO ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2554 ได้มีมติอนุมัติการดำเนินการต่าง ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนี้
1) ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของธนาคารลงมติอนุมัติการเข้าซื้อกิจการของ SICCO ด้วยการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ SICCO เป็นการทั่วไป เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ SICCO ออกจากการเป็น หลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 84.4413 (ซึ่งเกินกว่าร้อยละ 3 ใน 4 ของจำนวนผู้ถือหุ้นของธนาคารที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง)
2) ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ SICCO ลงมติอนุมัติให้เพิกถอนหุ้นของบริษัทออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 78.9820 (ซึ่งเกินกว่าร้อยละ 3 ใน 4 ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ SICCO) โดยมีผู้ถือหุ้นคัดค้านเพียงร้อยละ 0.2184ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ SICCO
จากมติอนุมัติดังกล่าวข้างต้น ธนาคารจะสามารถดำเนินการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ SICCO เป็นการทั่วไปได้ภายหลังจากได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยคาดว่า จะสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนสิงหาคม 2554 และจะแล้วเสร็จได้ประมาณเดือนตุลาคม 2554 จากนั้น จึงจะทำการเพิกถอนหลักทรัพย์ SICCO ออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วจึงดำเนินการเลิกกิจการ และคืนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจเงินทุนของ SICCO ให้แก่ทางการต่อไป ทั้งนี้ ธนาคารขอเรียนว่า ธนาคารจะกำหนดมาตรการและแนวทางที่จะช่วยเหลือลูกค้าผู้ที่มีเงินฝากกับ SICCO ไม่ให้ได้รับความเสียหาย และจะดูแลพนักงานตลอดจนผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ SICCO ให้ดีที่สุด
ในส่วนของบริษัทหลักทรัพย์ ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) (“SSEC”) นั้น ธนาคารขอเรียนว่า หากภายหลังจาก ที่ธนาคารได้มีการรับซื้อหุ้น SICCO ตามคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ SICCO เป็นการทั่วไปแล้ว ส่งผลให้ธนาคารมีสัดส่วนการถือหุ้นใน SICCO เพิ่มเป็นมากกว่าร้อยละ 50 ขึ้นไปของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของ SICCO ตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่เกี่ยวข้อง ธนาคารมีหน้าที่ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ SSEC เป็นการทั่วไปจากผู้ถือหุ้น SSEC รายอื่น ๆ ด้วย ซึ่งการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวธนาคารจะแจ้งกำหนดการให้ทราบต่อไป