นายวิบูล จันทรดิลกรัตน์ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 2 นับตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายนที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายของธุรกิจรับสร้างบ้าน ในการบริหารจัดการอย่างรัดกุม เพราะต้องเผชิญกับปัจจัยด้านต่างๆ ที่ส่งผลกระทบทั้งในภาคของผู้ประกอบการและภาคของผู้บริโภค โดยในภาคของผู้ประกอบการ ได้แก่ ปัจจัยราคามันที่ถีบตัวสูงขึ้น ราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้น และปัญหาแรงงานขาดแคลนโดยเฉพาะแรงงานฝีมือที่มีประสบการณ์ ส่วนในภาคของผู้บริโภค ก็มีปัจจัยที่เข้ามามีผลกระทบต่อการตัดสินใจ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น จึงส่งผลให้สถานการณ์โดยรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา อยู่ในระดับใกล้เคียงหรือเติบโตจากช่วงไตรมาสแรกเล็กน้อย
สมาคมฯประเมินว่าธุรกิจรับสร้างบ้านในช่วงไตรมาส 2 ถือว่ายังอยู่ในภาวะที่ค่อนข้างทรงตัว ซึ่งภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นก็ถือว่าดีแล้ว ส่วนแนวโน้มธุรกิจรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีหลังยังคงต้องติดตามปัจจัยต่างๆ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และราคาน้ำมัน ว่าจะมีทิศทางการปรับตัวอย่างไร โดยเชื่อว่าแนวโน้มธุรกิจรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะโดยธรรมชาติของธุรกิจ รับสร้างบ้านในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะมีความต้องการปลูกสร้างบ้านเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากสมาคมฯได้กำหนดงานรับสร้างบ้าน 2011 ขึ้นในเดือนสิงหาคม 2554 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยภายในงานจะมีผู้ประกอบการบริษัทรับสร้างบ้าน ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง และสถาบันการเงินชั้นนำ มาร่วมออกบูทนำเสนอแบบบ้าน วัสดุ และแพ็กเก็จสินเชื่อเงินกู้ปลูกสร้างบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษให้กับ ผู้ที่สนใจ ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นตลาดให้กลับมาคึกคักมากขึ้น
นายวิบูลกล่าวต่อว่า ภายหลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไปด้วยดี โดยรัฐบาลชุดใหม่ที่มีพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศเป็นที่เรียบร้อย และสามารถดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตามที่ได้ประกาศไว้ เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเรียกความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและประชาชนให้กลับมาดีขึ้น โดยเฉพาะการใช้นโยบายภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ช่วยเหลือประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยหลังแรก หากถูกนำมาเป็นนโยบายหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ สมาคมฯคาดหวังจะเห็นรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหาแรงงานในภาคก่อสร้างที่ประสบปัญหาขาดแคลนอย่างจริงจัง และนับวันมีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หากว่าเมกะโปรเจกต์โครงการรถไฟฟ้าใหม่ๆเริ่มการก่อสร้าง เพราะจะทำให้เกิดการแย่งแรงงาน ประกอบกับรัฐบาลชุดใหม่ได้ประกาศนโยบายหาเสียงจะปรับขึ้นค่าแรงงานเป็น 300 บาทต่อวัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนในภาคการก่อสร้าง ทำให้ภาคการก่อสร้างอาจต้องประสบปัญหา ทั้งเรื่องแรงงานขาดแคลนและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกัน
ข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ บริษัท โอเอซิส มีเดีย จำกัด โทร. 0-2937-4735 ต่อ 21
คุณศรัญญรัตน์ สุวรรณคาม / คุณวิชัย วงศ์พาสุข