เอไอเอ ประเทศไทย มีตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งโดยเป็นบริษัทประกันชีวิตอันดับหนึ่งในประเทศไทย มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 30% ในปี 2553 มีเงินกองทุนที่มั่นคงที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทประกันชีวิตอื่นๆในประเทศ มีการเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตัวแทนประกันชีวิตที่ให้บริการจำนวนมากที่สุดในประเทศ และมีผลประกอบการทางการเงินที่ดี อันดับความมั่นคงทางการเงินยังพิจารณารวมถึงการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และการได้รับความสนับสนุนทั้งทางด้านเทคนิคและการดำเนินงานจาก AIA
ตลาดประกันชีวิตในประเทศไทยถือว่ามีความสำคัญในด้านของขนาดและการเติบโตต่อบริษัท AIA ซึ่งการดำเนินธุรกิจโดยสาขาในประเทศไทยเป็นสัดส่วนที่มีความสำคัญต่อบริษัท ตัวเลขที่แสดงผลการดำเนินงานของสาขาตามหลักการบัญชีแบบ IFRS แสดงให้เห็นว่าสาขามีกำไรเป็นสัดส่วนถึง 36% ของกำไรสุทธิของ AIA Group ในปี 2553 และ มี Embedded Value เป็นสัดส่วน 22% ของกลุ่ม และส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นสัดส่วน 25% ของกลุ่ม ณ สิ้นปี 2553
กลยุทธ์ในการเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมทั้งนวัตกรรมทางผลิตภัณฑ์ และการที่มีตัวแทนประกันชีวิตที่สามารถให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพจำนวนมาก ทำให้เอไอเอ ประเทศไทย สามารถรักษาสัดส่วนทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่งและคงอัตราการเติบโตของรายได้ค่าเบี้ยประกันชีวิตได้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าสาขาจะเผชิญกับความท้าทายในทางธุรกิจจากบริษัทประกันรายใหญ่ที่มีช่องทางการขายประกันผ่านธนาคารที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังคงมีส่วนต่างของสัดส่วนทางการตลาดระหว่าง เอไอเอ ประเทศไทย และบริษัทประกันชีวิตอื่นๆในประเทศค่อนข้างมาก ซึ่งน่าจะยังคงรักษาส่วนต่างดังกล่าวไว้ได้อย่างน้อยในระยะปานกลาง
เอไอเอ ประเทศไทย ประกาศผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากในปี 2553 ซึ่งเป็นไปตามที่ฟิทช์คาดการณ์ โดยมีรายได้จากการลงทุนที่สูงขึ้น เนื่องจากไม่มีผลขาดทุนจากพอร์ตการลงทุนที่รับรู้ในปีก่อน รวมทั้งมีรายได้เบี้ยประกันชีวิตที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์รวมเฉลี่ย (ROAA) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากมาอยู่ที่ 2.0% ในปี 2553 จาก 0.7% ในปี 2552 การทำกำไรจากการลงทุน (Running yields) ค่อนข้างอยู่ในระดับคงที่ ที่ 5.6% ในปี 2553 ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานยังคงอยู่ในระดับคงที่เช่นกันที่ 5.3% ของเบี้ยประกันภัยรับสุทธิ
ส่วนต่างระหว่างระยะเวลาครบกำหนดของสินทรัพย์และหนี้สินยังคงเป็นประเด็น สำหรับบริษัทประกันชีวิตไทย เนื่องจากปริมาณของพันธบัตรระยะยาวในตลาดมีไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม เอไอเอ ประเทศไทย ได้พยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการบริหารทรัพย์สินและหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้นโบายการลงทุนของเอไอเอ ประเทศไทย ยังคงเป็นแบบอนุรักษ์ โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ในสัดส่วนประมาณ 78% ของสินทรัพย์เพื่อการลงทุนทั้งหมด และมีเพียง 16% ที่ลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้น
การที่สาขาไม่มีหนี้สินและมีระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่งที่สุดในอุตสาหกรรมประกันชีวิตไทย ยังคงเป็นปัจจัยบวกสำหรับ เอไอเอ ประเทศไทย อัตราส่วนเงินกองทุนได้ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 1,383% ของอัตราขั้นต่ำที่ต้องดำรงตามกฎหมายในประเทศ ณ สิ้นปี 2553 และแม้ว่าจะมีการนำผลกำไรออกนอกประเทศมากขึ้นใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ระดับเงินกองทุนของสาขายังคงอยู่ในระดับที่สูงพอที่จะรองรับได้ในระยะปานกลาง
แนวโน้มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินที่มีเสถียรภาพสะท้อนถึงความคาดหวังของฟิทช์ว่า AIA จะยังคงรักษาความแข็งแกร่งในด้านต่างๆได้ในระยะปานกลาง ขณะเดียวกันความแข็งแกร่งทางการเงินและระดับเงินกองทุนของ AIA หากมีการปรับตัวอ่อนแอลง อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศของ เอไอเอ ประเทศไทย ถูกปรับลดลง
ติดต่อ
Primary Analyst
นฤมล ชาญชนะวิวัฒน์
Director
+662 655 4763
บริษัท ฟิทช์เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด
55 ถนน วิทยุ ลุมพินี ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
Secondary analyst
Siew Wai Wan
Senior Director
+65 6796 7217
Committee Chairperson
Harish Gohil
Managing Director
+44 20 3530 1257