ภก.วิพิน กาญจนการุณ นายกสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) ต้องการสร้างความตระหนักรู้ให้เภสัชกรโรงพยาบาลทั่วประเทศถึงบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ในยุควิกฤติทางเศรษฐกิจและภัยธรรมชาติ จึงได้จัดประชุมวิชาการประจำปีของสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) เรื่อง “เภสัชกรโรงพยาบาลในยุควิกฤติ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งส่งเสริมกระบวนการดูแลผู้ป่วย และการจัดการระบบยาให้มีคุณภาพ พร้อมเตรียมหาแนวทางการรับมือและส่งมอบยาอย่างมีคุณภาพให้แก่ผู้ป่วยในยุควิกฤติทางเศรษฐกิจและภัยธรรมชาติ
ภญ.วรรณี มานะกิจศิริสุทธิ กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลบ้านหมี่ จ.ลพบุรี เผยว่า เมื่อเกิดภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจในประเทศขึ้น โรงพยาบาลขนาดเล็กมักประสบปัญหาการขาดทุน ไม่มีเงินซื้อยา ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนยาจำนวนมาก ประชาชนมักเปลี่ยนไปใช้บริการโรงพยาบาลอื่นที่มีความพร้อมกว่า ทำให้โรงพยาบาลขาดทุนหนักขึ้นไปอีก ส่งผลให้บุคลากรขาดขวัญและกำลังใจจนต้องขอโยกย้ายไปที่อื่น หากปล่อยไปเรื่อยๆ ก็อาจต้องปิดโรงพยาบาลในที่สุด
ในภาวะวิกฤติดังกล่าว เภสัชกรจะต้องจัดการในการหาแนวทางให้ผู้ป่วยได้รับยาที่ดีที่สุด ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่นโยบายของโรงพยาบาลผ่านคณะกรรมการเภสัชกรรมแกรบำบัด จึงจะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ เพราะสามารถลดมูลค่ายาที่ใช้ในการจัดซื้อได้จริง โดยคณะกรรมการฯ จะพิจารณาการจัดซื้อยาและแยกบัญชียา เป็นบัญชียาที่จำเป็นต้องซื้อก่อนเพราะขาดไม่ได้ และบัญชียาที่สามารถใช้ยาอื่นแทนได้ การใช้ยาก็จะต้องมีความสมเหตุสมผลและใช้ตามแนวเวชปฏิบัติ มิฉะนั้นก็จะไม่จ่ายยา มีการปรับยาบางตัวมาใช้ยาที่ใช้แทนกันได้และเป็นยาสามัญ โดยเฉพาะยาต้านจุลชีพ แต่จะต้องดูปัญหาของคนไข้ด้วย หากรุนแรงก็จะไม่มีการแทนยา นอกจากนี้ก็มีการพิจารณาเป็นแผนกเพื่อตรวจสอบว่าสามารถตัดทอนยาหรือเหลือยาที่จำเป็นตัวใดบ้าง และทำบัญชียาที่ค้างชำระ เพื่อหาวิธีในการลดหย่อนและนำยาที่มีอยู่มาใช้ มีการเข้าร่วมโครงการลดยาเหลือใช้ปลอดภัยปลอดโรค และมีการเย็บถุงผ้าขึ้นเองในโรงพยาบาลไว้เป็นถุงใส่ยา
และให้คนไข้นำถุงยานี้มาทุกครั้ง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายทำถุงยา ในเรื่องการอบรมเพื่อพัฒนา เพิ่มความรู้ก็เปลี่ยนมาเป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง เช่น อินเตอร์เน็ต หนังสือ เป็นต้น
ในวิกฤติเศรษฐกิจยังมีโอกาสดีๆ ที่ค้นพบ คือ...
1. ค้นพบว่าสามารถอบรมหรือสอนกันเองได้ เป็นการประหยัดเงินไปอบรมและเงินค่าตอบแทน
2. ค้นพบพรสวรรค์ของตัวเอง หลายคนหันไปทำอาชีพเสริมและมีรายได้เพิ่ม แม้จะไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือนตามปกติ
3. เกิดสังคมของโรงพยาบาลถังแตกมีการรวมกลุ่มของโรงพยาบาลที่ขาดทุน เพื่อปรึกษาปัญหาและหาทางแก้
4. ค้นพบน้ำใจจากพี่น้องเภสัชกร มีการหยิบยืมยาจากโรงพยาบาลข้างเคียง จนกลายเป็นการสร้างมิตรภาพขึ้น
ส่วนทางด้าน ภญ.สุรีรัตน์ ตั้งสง่าศักดิ์ศรี หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาล หาดใหญ่ เผยถึงวิกฤตการณ์น้ำท่วมว่า สำหรับในประเทศไทยแล้วมีหลายโรงพยาบาลที่มีคลังเวชภัณฑ์อยู่ใต้ดิน เมื่อประสบปัญหาน้ำท่วมจึงเกิดความสูญเสียของเวชภัณฑ์ไม่น้อย โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปลายปี 2553 ที่ผ่านมา นับเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกคนต้องมีการตื่นตัว และพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที
พร้อมกันนี้ สิ่งสำคัญที่เภสัชกรโรงพยาบาลต้องเตรียมรับสถานการณ์ก่อนน้ำท่วม คือ
1. สถานที่รองรับยาและเวชภัณฑ์ ต้องเตรียมไว้ล่วงหน้า และคำนึงถึงประเภท ชนิดของยาที่จะเก็บด้วย เพราะยาบางตัวต้องเก็บไว้ในตู้เย็นหรือห้องเย็น รวมทั้งจำนวนยาที่มีจำนวนมากและหลากหลายจำเป็นต้องหาห้องที่มีพื้นที่พอสมควร
2. การขนย้ายจำเป็นต้องเตรียมหาอุปกรณ์เพื่อใช้ในการขนย้าย เพื่อเพิ่มความสะดวกและรวดเร็ว
3. คาดการณ์กับสถานการณ์น้ำท่วม โดยจัดทีมคาดการณ์พร้อมประสานงานกับเทศบาลและวิทยุชุมชนเพื่อติดตามระดับน้ำท่วมว่าอยู่ในขั้น วิกฤติหรือไม่
4. เตรียมรายการยาที่จำเป็น โดยแยกเป็น ยาที่ใช้ในโรงพยาบาล ยาที่ใช้ออกหน่วย หรือยาสนับสนุนโรงพยาบาลอื่นๆ รวมถึงต้องมียาที่จำเป็นในกรณีน้ำท่วม อาทิ ยาแก้ท้องเสีย ย าลดไข้ ยาแก้เชื้อรา ยาแก้แพ้ น้ำเกลือ ยาฆ่าเชื้อ เป็นต้น รวมถึงอุปกรณ์ขนย้ายต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญ
อย่างไรก็ตาม... ไม่ว่าจะต้องประสบภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจหรือภัยธรรมชาติ เภสัชกรโรงพยาบาลต้องเตรียมรับมืออย่างรอบคอบซึ่งจะเป็นแนวทางป้องกันและลดความสุญเสียได้เป็นอย่างดี ดังนั้นทางสมาคมฯ จึงต้องการส่งเสริมให้เภสัชกรมองวิกฤติและจัดการวิกฤติด้วยสติ และความรู้ อีกทั้งต้องการสนับสนุนให้เภสัชกรสร้างคุณค่าให้กับตนเองและหน่วยงานต่อไป...
สอบถามรายละเอียดประชาสัมพันธ์ได้ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์
นิรมล และ พีรนุช โทร. 0-2718-3800 ต่อ 132, 136