ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร “บล. คันทรี่กรุ๊ป” ที่ “BBB-” แนวโน้ม “Stable”

อังคาร ๑๙ กรกฎาคม ๒๐๑๑ ๑๒:๓๕
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงพื้นฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งของบริษัท ตลอดจนฐานะทางการตลาดที่ปรับตัวดีขึ้นในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และผลตอบแทนจากการลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังมีขัอจำกัดจากประวัติผลงานของคณะผู้บริหารชุดปัจจุบันที่ยังมีไม่มากในการที่จะดำรงผลการดำเนินงานและบริหารจัดการต้นทุนของบริษัทให้มีประสิทธิภาพเนื่องจากผู้บริหารชุดนี้เพิ่งร่วมงานกับบริษัทเมื่อปลายปี 2552 นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสภาวะแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่การแข่งขันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ตลอดจนตลาดหุ้นไทยที่มีความผันผวนมากยิ่งขึ้น และความไม่แน่นอนที่เกิดจากการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบในปี 2555

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความตั้งใจของผู้บริหารที่จะคงสัดส่วนการถือหุ้นใน บลจ. เอ็มเอฟซีเอาไว้และมองหาโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานและรักษาฐานลูกค้า ตลอดจนบุคลากรด้านการตลาดเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะมีระบบจัดการความเสี่ยงที่เพียงพอในการควบคุมความเสี่ยงในธุรกิจการลงทุนในการซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทและธุรกิจสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บล. คันทรี่กรุ๊ปเริ่มมีกำไรในปี 2552 หลังจากมีผลขาดทุนมานานหลายปี โดยความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทได้รับนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ พร้อมทั้งคณะผู้บริหารและบุคลากรด้านการตลาดจำนวนมากเข้าร่วมงานด้วย หลังจากนั้น ส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากระดับประมาณ 3% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 มาเป็น 5%-6% ในช่วงครึ่งหลังต่อเนื่องจนถึงปี 2553 อันเป็นผลทำให้ลำดับสถานะของบริษัทขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับ 2 ของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2553 จากที่เคยอยู่ในอันดับ 5 ในปี 2552 และอันดับ 20 ในปี 2551 อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขายของบริษัทลดลงในช่วงไตรมาสแรกของปี 2554 ทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดตกลงมาอยู่ที่ 4.6% ดังนั้น จึงต้องใช้เวลามากกว่านี้เพื่อที่จะพิสูจน์ความสามารถของบริษัทในการรักษาระดับส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนี้ ทั้งนี้ รายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์คิดเป็นสัดส่วนถึง 80% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2553

แม้ว่ารายได้รวมของบริษัทจะเติบโตถึง 80% จาก 898 ล้านบาทในปี 2552 มาอยู่ที่ 1,612 ล้านบาทในปี 2553 แต่สัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 80% ในปี 2553 เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ประมาณ 60% ในจำนวนนี้คิดเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร กรรมการ และผู้บริหารที่สูงถึง 59% ของรายได้รวม เทียบกับปี 2552 ที่ระดับ 51% ซึ่งนับว่าสวนทางกับแนวโน้มในอุตสาหกรรมที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร กรรมการ และผู้บริหารต่อรายได้รวมปรับตัวลดลงจาก 45% ในปี 2552 มาอยู่ที่ 40% ในปี 2553 ท่ามกลางรายได้ที่เติบโตสูงขึ้นเป็นอย่างมากในธุรกิจหลักทรัพย์ จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้บริหารในการที่จะควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและปรับปรุงประสิทธิภาพในการสร้างรายได้ของพนักงานให้ดียิ่งขึ้น

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยของบริษัทลดลงจาก 0.22% ในปี 2552 มาอยู่ที่ 0.16% ในปี 2553 อันเป็นผลจากการบังคับใช้อัตราค่านายหน้าแบบขั้นบันไดตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 ทั้งนี้ ในปี 2555 ซึ่งจะเป็นปีแรกของการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ อัตราค่านายหน้าน่าจะลดต่ำลงอีกจากการแข่งขันที่รุนแรง แม้ว่าบริษัทจะมีความได้เปรียบในแง่ของการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) จากส่วนแบ่งทางการตลาดที่สูง แต่หากบริษัทไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานได้ก็อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรในอนาคต

ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน บลจ. เอ็มเอฟซี คิดเป็นสัดส่วน 24% ของกำไรสุทธิของบริษัทในปี 2553 บริษัทได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน บลจ. เอ็มเอฟซี เป็น 20.7% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 อันมีผลทำให้ บลจ. เอ็มเอฟซี เปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทร่วม บริษัทได้ทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนจนอยู่ที่ระดับ 24.9%ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน บลจ. เอ็มเอฟซี นี้ถือได้ว่าเป็นแหล่งรายได้ที่ค่อนข้างสม่ำเสมอแหล่งหนึ่งของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังมี บลจ. เอ็มเอฟซี เป็นลูกค้าสถาบันในประเทศรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ด้วย

การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทมีผลตอบแทนที่ดีขึ้นนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2552 ที่มีการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนใหม่โดยบริษัทไม่มีการขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์เลยในทุกไตรมาสนับจากนั้นจนถึงไตรมาสแรกของปี 2554 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์ ผลการดำเนินงานในช่วงเวลาดังกล่าวยังอาจจะสั้นเกินกว่าที่จะประเมินความเสี่ยงและความสามารถในการทำกำไรในส่วนนี้ได้ ในส่วนของความเสี่ยงด้านเครดิตนั้น บริษัทมียอดลูกหนี้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์อยู่ที่ 940 ล้านบาท ณ ปลายไตรมาสแรกของปี 2554 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากปีก่อน โดยมียอดลูกหนี้จัดชั้นอยู่ในระดับสูงที่ 400 ล้านบาท แต่ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ที่มีปัญหามาตั้งแต่ปี 2551 และมีการตั้งสำรองเต็มจำนวนแล้ว

ณ สิ้นปี 2553 บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นสูงถึงเกือบ 3 พันล้านบาท โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ที่ระดับ 175% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ทางการกำหนดไว้ที่ 7% เป็นอย่างมาก ทริสเรทติ้งกล่าว

บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ