นายคเณศ ขาวจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPC เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ ในช่วงไตรมาส 2/54 มีรายได้จากการขายรวม 7,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/53 เนื่องจากราคาขายที่สูงขึ้น และกำไรสุทธิ 766 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 139 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/53
“ราคาพีวีซีได้ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ราคาอีดีซีแม้ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่มากนักเมื่อเทียบกับพีวีซี และคาดว่าราคาพีวีซีน่าจะยังอยู่ในระดับสูงต่อไปจนถึงครึ่งปีหลัง เนื่องจากฐานราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น รวมทั้ง การเติบโตของเศรษฐกิจ ผลักดันให้ราคาพีวีซียังสูงต่อไป โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 15,835 ล้านบาท มีกำไรรวม 1,279 ล้านบาท และคาดว่ารายได้รวมทั้งปีจะเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 10” นายคเณศ กล่าว
สำหรับสภาวะอุตสาหกรรมพีวีซี ในประเทศไทย นายคเณศ กล่าวว่า ในปี 2554 บริษัทฯ มีกำลังการผลิตพีวีซี 886,000 ตัน แบ่งเป็นในประเทศไทย 566,000 ตัน เวียดนาม 200,000 ตัน และอินโดนีเซีย 120,000 ตัน โดยในประเทศไทยมีความต้องการพีวีซีช่วงครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นการเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง ในส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าการเมืองจะมีเสถียรภาพมากขึ้นจากความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ รวมทั้งการใช้จ่ายจากภาครัฐ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยเหตุนี้จึงคาดว่า ความต้องการ พีวีซี ในช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มของผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง (HVA Product) ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ Resin, Compound & Chemicals, Finished Product
Resin ภายใต้แบรนด์ “TRUZT” ซึ่ง TPC ได้เปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีความต้องการของตลาดค่อนข้างมาก บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตของยอดขาย “TRUZT” เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 ของยอดขายในปี 2553 โดยมุ่งเน้นตลาด HVA PVC resin ต่างประเทศ
ผลิตภัณฑ์มี พีวีซี-ไวนิลอะซีเตทโคพอลิเมอร์ ที่เน้นตลาดในกลุ่ม packages, สารเคลือบบัตรเครดิต โดยมีคุณสมบัติพิเศษคือ มีจุดหลอมเหลวต่ำ สามารถพิมพ์ติดสีได้ดี และมีคุณสมบัติยึดติดสูง
สำหรับ PVC Compound มุ่งเน้นตลาด สินค้าทดแทนไม้ (Vinyl Wood Compound) และ ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ (Medical Compound) และ Non-PVC Compound โดยบริษัทฯ มีสินค้าที่เรียกว่า XLPE (Cross Link Polyethylene) มุ่งเน้นตลาดสายไฟ ใช้ในการผลิตสายไฟชนิด Low to Medium Voltage และสายไฟชนิดพิเศษที่สามารถใช้ได้ในที่อับอากาศ เช่น ในรถยนต์ รถไฟฟ้าใต้ดิน (Low Smoke Free of Halogen Cable Compound)รวมทั้ง ผลิตภัณฑ์พีวีซี สำหรับแผ่นพลาสติกใต้ฝาจีบ(Non PVC Seal Liner Compound) ด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนของ PVC Finished Product นายคเณศ กล่าวว่า สินค้าท่อและข้อต่อ ลูกค้าเริ่มตระหนักในเรื่องการเลือกใช้สินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นสินค้าในกลุ่ม HVA โดยทางบริษัทฯ ได้เพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากขึ้น
และสำหรับสินค้าโปรไฟล์ เช่น ประตูหน้าต่างไวนิล วัสดุทดแทนไม้ (Wood Plastic Composite) สินค้า Outdoor Living ภายใต้แบรนด์ ” Windsor” ซึ่งผลิตโดยบริษัทในเครือ คือ นวพลาสติก ฯ สินค้าในกลุ่มนี้ยังมีความต้องการของตลาดสูง เนื่องจากมีความสวยงาม ทนทาน ดูแลรักษาง่าย และประหยัดพลังงาน โดย “Windsor” เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ ๆ และขณะนี้ บริษัทฯ ได้มีการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต ซึ่งคาดว่าจะออกจำหน่ายสินค้าได้ในช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า
“นอกจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ HVA ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด และให้มาร์จิ้นที่ค่อนข้างสูงกว่าสินค้า commodity โดยทั่วไปแล้ว บริษัทฯ ยังมีนโยบายพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้าน Eco ควบคู่กันไปด้วย ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์พีวีซีเรซินคุณภาพสูง ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปใช้ในงาน ถุงมือแพทย์, แผ่นรองพรม (Carpet backing), หนังเทียม รวมทั้ง วิจัยและพัฒนาระบบสารทนความร้อน (PVC Heat Stabilizer) ที่ไม่มีโลหะหนักเป็นส่วนประกอบ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน เพื่อใช้ในงานหน้าต่าง ประตู ระแนง และพัฒนาระบบสารหน่วงไฟ (Flame Retardant System for Smoke suppression and Fire resistance) ที่ลดการเกิดควันป้องกันการติดไฟ เพิ่มความปลอดภัยและลดปัญหามลพิษเมื่อเกิดการเผาไหม้ ใช้ในงานสายไฟ ท่อร้อยสายไฟ เป็นต้น” นายคเณศ กล่าว