ดร.ศุภกร ชูกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง ปั้นบลจ.เกียรตินาคินสู่บูติคฟันด์

ศุกร์ ๐๕ สิงหาคม ๒๐๑๑ ๑๖:๕๔
ดร.ศุภกร นำทีมผู้บริหารเปิดตัว บลจ.เกียรตินาคิน ชูกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง ปั้นบริษัทสู่บูติคฟันด์ ตั้งเป้าภายใน 3 ปีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารแตะ 7 หมื่นล้านบาท เตรียมเปิดกองทุนให้ครบทุกประเภททั้ง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนอสังหาฯ กองทุนส่วนบุคคล ฯลฯ

ดร.ศุภกร สุนทรกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคิน จำกัด หรือ “KKFund” เปิดเผยว่า หลังจากเข้ามาบริหาร บลจ.เกียรตินาคินได้กำหนดวิสัยทัศน์เป็น “บลจ.ขนาดกลางที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (บูติค)” กลยุทธ์สำคัญที่นำมาแข่งขันกับกองทุนอื่นๆในตลาดคือ ความแตกต่างในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ โดยบริษัทมีแผนที่จะออกกองทุนให้ครบทุกประเภท อาทิ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ รวมไปถึงกองทุนประเภททาร์เก็ต ฟันด์ หรือกองทุนที่ตั้งเป้าผลตอบแทน ซึ่งรูปแบบการลงทุนของกองทุนเหล่านี้จะแตกต่างกองทุนทั่วไป พร้อมกับเน้นคุณภาพในการให้บริการแก่ลูกค้า อาทิ การให้คำแนะนำในเรื่องของจังหวะการปรับพอร์ต บริหารหลังการขาย เพื่อสร้างความพึงพอใจและดึงดูดให้ลูกค้าใช้บริการ รวมถึงเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ทั้งผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงช่องทางใหม่ๆ ที่ต่างจากอดีต

นอกจากนี้ บริษัทจะมีการปรับโครงสร้างองค์กร เพิ่มทีมผู้จัดการกองทุนเข้ามาเสริมทัพ อาทิ ผู้จัดการกองทุนหุ้น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนต่างประเทศ รวมถึงทีมบริหารความเสี่ยงและทีมมาร์เก็ตติ้ง และระบบงานอื่นๆ เพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้ ยังต้องสร้างความสัมพันธ์ กับลูกค้าเก่า และตัวแทนจำหน่วยหน่วยลงทุนหรือเซลลิ่งเอเจนต์ต่างๆ ด้วย

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าภายใน 3 ปีมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) มากกว่า 70,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะเปิดกองทุนเพิ่มเติม อาทิ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ( Provident Fund) กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) จากปัจจุบันที่บริษัทมีกองทุนหุ้น กองทุนรวมหุ้น ระยะยาว (แอลทีเอฟ) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (อาร์เอ็มเอฟ) กองทุนรวมต่างประเทศที่ลงทุนในหุ้นจีน ทองคำและธุรกิจเฮลธ์แคร์

สำหรับปีนี้บริษัทมีแผนจะเสนอขายกองทุนประมาณ 14-15 กองทุน โดยในจำนวนนี้จะเป็นกองทุนที่ตั้งเป้าผลตอบแทน หรือ ทาร์เก็ตฟันด์จำนวน 3 กองทุน แบ่งเป็น กองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย 1 กองทุน กองทุนที่ลงทุนในอีทีเอฟประเทศจีน 1 กองทุน และกองทุนที่ลงทุนในอีทีเอฟประเทศสหรัฐอเมริกา 1 กองทุนแต่ละกองทุนจะมีขนาดสินทรัพย์ประมาณ 300-400 ล้านบาท สาเหตุที่เลือกลงทุนในอีทีเอฟของจีนและสหรัฐฯ เนื่องจากปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามากถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน และมองว่าทั้งสองประเทศยังมีโอกาสในการเติบโต

เกี่ยวกับ บลจ.เกียรตินาคิน : เริ่มดำเนินธุรกิจจัดการกองทุนรวมครั้งแรกในชื่อของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน นครหลวงไทย จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2547 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 100 ล้านบาท ต่อมาได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 300 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2554 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น ธนาคาร เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)(KK) เข้าถือหุ้นใหญ่ 60% กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ถือหุ้น 40% จึงดำเนินการเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคิน จำกัด” ปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารประมาณ 22,000 ล้านบาท

สอบถามเพิ่มเติมติดต่อ : คุณจินดารัตน์ หงส์ดำเนิน โทร 02-624-8531

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๖:๕๘ SME D Bank ผนึกกำลัง Student Care ติดปีกรับเทรนด์การศึกษายุคใหม่ เผยความสำเร็จร่วมลงทุนทะลุ 1,500 ลบ. ต่อยอดพาเอสเอ็มอีสู่ตลาดหลักทรัพย์ 5
๑๖:๒๕ GDH จัดเสิร์ฟความเข้มข้นรับต้นปี!! เปิดตัวภาพยนตร์ แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่าง เ รา
๑๖:๕๕ สตาร์บัคส์ ร่วมกับ LINE MAN ยกระดับ ประสบการณ์สตาร์บัคส์ ไปอีกขั้น ให้สมาชิก Starbucks(R) Rewards สามารถสะสมดาวได้แล้วผ่าน LINE
๑๖:๒๐ JMART - JMT มุ่งเป้าปี 2568 เติบโตต่อเนื่อง JMT กลับมาเติบโตตามเป้าหมาย พร้อมดันแผน New S-Curve CommerceTech และ
๑๖:๓๖ เปิดลิสต์ 7 อาหารช่วยชะลอวัย
๑๖:๔๗ ส. ขอนแก่น คว้ารางวัล BRONZE ประเภท Brand Experience Communication แคมเปญการตลาดแห่งปี แกล้มได้ทุกเรื่องเล่า จากเวที Marketing Award of Thailand
๑๖:๒๑ เนสท์เล่ ต่อยอดความสำเร็จ ภารกิจพิชิตสุขภาพดี สนับสนุนกทม. ในโครงการสร้างความรอบรู้สู่สุขภาพดีวิถีวัยทำงานข้าราชการและบุคลากรของกรุงเทพมหานคร
๑๖:๑๖ กรุงไทยคว้ารางวัลใหญ่ระดับภูมิภาค International Innovation Awards 2024 ตอกย้ำผู้นำนวัตกรรมการเงินยั่งยืน
๑๖:๔๖ ไทยพาณิชย์ตอกย้ำธนาคารยอดเยี่ยมเพื่อลูกค้าเอสเอ็มอี กวาด 7 รางวัล จากเวทีชั้นนำในปี 2024 พร้อมดูแลลูกค้าให้เติบโตอย่างยั่งยืน
๑๖:๕๑ ปตท. คว้าอันดับ 1 มูลค่าแบรนด์สูงสุดในไทย 4 ปีซ้อน สะท้อนความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน