นายอุทัยอุทัยแสงสุขรองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาคอนโดแสนสิริบริษัทแสนสิริจำกัด(มหาชน) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงยอดขายในส่วนของคอนโดแสนสิริช่วง5เดือนที่ผ่านมาว่า มียอดขายแล้วกว่า 3,000ล้านบาทจากจำนวนยูนิตที่มีเหลือขายมูลค่า4,000ล้านบาทโดยตลาดหลักยังเป็นกลุ่มลูกค้าคนไทย ส่วนแนวโน้มของตลาดคอนโดในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงต้องรอดูสถานการณ์ทางการเมืองภายหลังจากมีการเลือกตั้งจึงจะเห็นความชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร
สำหรับทิศทางการพัฒนาโครงการ แสนสิรินั้นยังคงพัฒนาโครงการทุกระดับราคา ตั้งแต่กลุ่มดีจนถึงเอ แต่การพัฒนาหลักจะยังคงอยู่ที่ตลาดเอและบี ด้วยสัดส่วน80%และตลาดซีและดีในกลุ่มแบรนด์ดีคอนโดด้วยสัดส่วน20%ซึ่งในอนาคตอาจจะเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาเพิ่มเป็น30%เนื่องจากปัจจัยสำคัญเรื่องที่ดินซึ่งจะหาซื้อมาพัฒนาโครงการระดับเอและบีได้ยากขึ้น ทำให้ต้องขยับพื้นที่ออกไปนอกเมืองมากขึ้น แต่ยังคงใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าอาจจะเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าในส่วนต่อขยาย แต่ทั้งนี้คงต้องดูดีมานด์และซัพพลายประกอบการพิจารณาด้วย
"ปัจจุบันที่ดินที่จะพัฒนา ตลาดเอและบีเริ่มหายาก และแม้จะยังพอหาได้ในบางพื้นที่แต่ก็มีราคาแพงจนพัฒนาโครงการขายในระดับราคาปัจจุบันที่บริษัทขายระดับตารางเมตรละแสนกว่าบาทได้ยาก ซึ่งต่อไปหากจะพัฒนาโครงการในย่านกลางเมือง คงจะต้องมีราคาระดับตารางเมตรละ2แสนบาทขึ้นไป เพราะที่ดินย่านใจกลางเมืองราคาพุ่งไปเป็นตารางวาละล้านบาทแล้ว หากที่ดินที่สามารถนำมาพัฒนาโครงการขายระดับราคา1แสนบาทต่อตางรางเมตรได้จะต้องมีต้นทุนที่ดินประมาณ5-6แสนบาทต่อตารางวา"นายอุทัย กล่าวและว่า
ส่วนสถานการณ์ภาพรวมตลาดคอนโดในไตรมาสแรกที่ผ่านมาจากการสํารวจข้อมูลมี ประมาณ30โครงการรวม12,275ยูนิตมูลค่าเสนอขายรวมที่24,882ล้านบาทพิจารณาด้านราคาพบว่ากลุ่มราคาเสนอขายของโครงการใหม่เน้น กลุ่มราคาตํ่ากว่า50,000บาทต่อตารางเมตรเป็นหลักโดยมีจํานวน7,454ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 61%จากจํานวนใหม่ทั้งหมด รองลงมาคือกลุ่มราคา50,000-69,999บาทต่อตารางเมตร จํานวน2,601ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 21% กลุ่มราคา1-1.99แสนบาทต่อตารางเมตร จํานวน1,332ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 11% และกลุ่มราคา70,000-99,999บาทต่อตารางเมตร จํานวน888ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 7%
"แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกของปีจะมียอดขายจํานวน3,804ยูนิตมูลค่ายอดขายรวมอยู่ที่6,643ล้านบาท แต่กลุ่มคนซื้อส่วนใหญ่ก็เป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองไม่ใช่การซื้อเพื่อเก็งกำไรซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ต้องอาศัยเวลาในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์หากโครงการ มีราคาเหมาะสมตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและได้รับการพัฒนาจากผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียงเชื่อถือได้และมีผลงานที่เป็นที่ยอมรับก็จะทำให้ตัดสินใจซื้อได้เร็วและง่ายขึ้นอย่างไรก็ตามสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีและช่วยป้องกันการเกิดฟองสบู่คอนโดมิเนียมหรือภาวะคอนโดมิเนียมล้นตลาดได้"
นายอุทัยกล่าวอีกว่าระดับราคาคอนโดน่าจะเปลี่ยนแปลงไม่เกิน1%เนื่องจากมีคอนโดราคาตํ่าจำนวนมากเข้ามาส่วนพื้นที่ในโซนสุขุมวิทชั้นใน รัชดาฯ-ลาดพร้าวและสุขุมวิทรอบนอกจะเป็นโซนที่ลูกค้าและผู้ประกอบการให้ความนิยมในการพัฒนา เนื่องจากศักยภาพของทำเลการอยู่อาศัยหนาแน่นของชุมชนและราคาที่หลากหลายเพราะปัจจุบันลูกค้าให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านราคาก่อนปัจจัยด้านทำเลคอนโดมิเนียมราคาไม่แพงแต่ยังสามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้าได้แม้ต้องเดินทางสักระยะก่อนถึงสถานีจึงได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้โซนดังกล่าวอาจมีการถีบตัวเพิ่มขึ้นของราคาประมาณ3 - 5%ในช่วงครึ่งปีหลังของปี2554ได้
นายแฟรงค์ข่าน ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัยบริษัทไนท์แฟรงค์ชาร์เตอร์(ประเทศไทย)จำกัดกล่าวว่าขณะนี้ทำเลริมแม่น้ำกำลังกลับมาเป็นที่สนใจของยักษ์ใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์อีกครั้งไม่ว่าจะเป็นกลุ่มศุภาลัยกลุ่มทีซีซีแลนด์และกลุ่มอีสเทอร์นสตาร์ที่เปิดตัวโครงการย่านพระราม3ฝั่งริมแม่น้ำในระยะเวลาใกล้เคียงกันเนื่องจากที่ดินใจกลางเมืองหายากมากขึ้นและมีราคาสูงมากจึงยากที่จะพัฒนาโครงการระดับกลางและบนได้พื้นที่ริมน้ำเจ้าพระยายังเป็นจุดเด่นที่สามารถสร้างเป็นจุดขายให้กับโครงการได้ด้วย
"เดิมทีทำเลนี้จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางธุรกิจใหม่รองรับการขยายตัวจากบริเวณซีบีดีแต่ก็มาหยุดชะงักไปในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจทำให้ราคาที่ดินยังไม่สูงนักโดยฝั่งติดถนนอย่างเดียวเฉลี่ยอยู่ที่1.5-2.2แสนบาทต่อตารางวาส่วนแปลงติดถนนและริมแม่น้ำอยู่ที่2-2.8แสนบาทต่อตารางวาด้านถนนวงแหวนอุตสาหกรรมอยู่ที่1.5-1.8แสนบาทต่อตารางวา ส่งผลให้สามารถพัฒนาคอนโดในราคากลางล่างประมาณ6-9หมื่นบาทต่อตารางเมตรได้โดยหากเป็นคอนโดทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ60,000บาทต่อตารางเมตร ถ้าวิวแม่น้ำเจ้าพระยาจะขยับขึ้นไปที่1แสนบาทต่อตารางเมตรซึ่งเทียบกับห้องชุดในเมืองแล้วราคายังถูกกว่ามาก"