นายขวัญชัย ณัฏฐ์เศรษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่ คัลเล่อร์ จำกัด(มหาชน) หรือ COLOR เปิดเผยถึง ผลประกอบการงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2554 ของบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 16.09 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.88 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 755.85 % ขณะที่ผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2554 ปรากฎว่ามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.12 % เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 4.68 ล้านบาท
สาเหตุที่ทำให้ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปีนี้มีการเติบโตอย่างมาก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมในปี 2554 เติบโตและมีเสถียรภาพ ส่งผลให้บริษัท มีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้นเป็น 345.137 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31.65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 263.003 ล้านบาท ถือว่าสอดคล้องกับประมาณการรายได้ที่บริษัทได้คาดการณ์ไว้ โดยมีการเติบโตของยอดขายในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของ COLOR เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 24.16% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 16.27%
เขากล่าวต่อถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกในครึ่งหลังของ 2554 ว่าความต้องการใช้พลาสติกยังมีทิศทางที่จะเติบโตได้อีกมาก และกระจายอยู่ในหลายอุตสาหกรรม ทำให้การเติบโตของบริษัทมีเสถียรภาพตามไปด้วย โดยลูกค้าหลักของบริษัท คือ กลุ่มธุรกิจหีบห่อและบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค จากสาเหตุดังกล่าวจึงทำให้มั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่นอย่างมาก
“ปีนี้บริษัทยังคงวางเป้าหมายรายได้เติบโตประมาณ 30% จากปี 2553 ที่ทำได้ 566.43 ล้านบาท นอกจากนี้คาดว่าความสามารถในการทำกำไรปี 2554 น่าจะดีกว่าปี 2553 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 14.34 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้พยายามลดต้นทุนในการผลิตและจัดหาเครื่องจักรรูปแบบใหม่เพื่อให้การผลิตสินค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งจะเพิ่มสัดส่วนการส่งออกปีนี้เป็น 25-30% จากปีก่อนที่ส่งออก 20-25% ส่วนประเทศหลักๆ ที่บริษัทส่งออก ประกอบด้วย เวียดนาม มาเลเซีย พม่า และกำลังขยายธุรกิจเพิ่มเติมไปยังทวีปยุโรป และทวีปออสเตรเลีย อีกด้วย”
เขากล่าวในช่วงท้ายถึงความคืบหน้าในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่บนพื้นที่ ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู ขนาดพื้นที่ 14 ไร่ เพื่อขยายกำลังการผลิต รองรับออเดอร์ที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของจีดีพีประเทศนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าโรงงานจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2554 และติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จต้นปี 2555 เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ปลายปี 2555 โดยบริษัทตั้งเป้าหมายภายใน 3 ปีข้างหน้า หลังจากดำเนินงานเชิงพาณิชย์ได้โรง งานแห่งใหม่ จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 60,000 ตันต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 30,000 ตันต่อปี