นายพิเชษฐ มณีรัตนะพร กรรมการผู้จัดการบริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า “เป็นโอกาสที่ดี ที่แลนดี้ โฮม ได้เปิดตัวแบบบ้านใหม่ในงานรับสร้างบ้าน 2011 ที่ผ่านมา ซึ่งเราใช้ชื่อว่า VERTICAL SERIES จุดเด่นของบ้านสไตล์นี้เกิดจากการนำเส้นตั้งมาเป็นจุดเด่นในการออกแบบ เพื่อสร้างความภูมิฐานของผู้อยู่อาศัย ผสานเข้ากับ Style Modern-Tropical ที่นำแนวความคิดการออกแบบสไตล์โมเดิร์นมาประยุกต์ใช้กับเขตร้อนชื้น ทั้งด้านวัสดุ รูปลักษณ์ และการประยุกต์ให้ส่วนตกแต่งสามารถกันความร้อนโดยตรงจากแสงอาทิตย์ได้ ซึ่งการออกแบบนี้ สามารถช่วยลดความร้อนในตัวบ้าน และลดการใช้พลังงานไปในตัว ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แลนดี้ โฮม มุ่งมั่นและยืนหยัดการสร้างบ้านโดยคำนึงถึงคุณภาพและการอยู่อาศัยที่ดีของลูกค้า เริ่มต้นจากการออกแบบให้อยู่สบาย ใช้ประโยชน์คุ้มค่า การก่อสร้างปลอดภัย ไม่ใช้วัสดุที่ก่อมลภาวะ และที่สำคัญต้องเป็นบ้านที่มีประสิทธิภาพป้องกันแมลงสาบได้เกือบ 100%”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าครึ่งปีหลังนี้จะมีปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคอยู่บ้าง ทั้งเรื่องของการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้าง โดยอาจส่งผลต่อการตัดสินใจจองสร้างบ้านของลูกค้า แต่ในทางกลับกันด้วยภาวการณ์เช่นนี้ ลูกค้าอาจเร่งตัดสินใจจองสร้างบ้าน เพราะมีความกังวลต่อราคาบ้านที่จะปรับตัวสูงขึ้นในต้นปีหน้า อีกทั้งนโยบายของรัฐบาล พรรคเพื่อไทยที่จะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ซึ่งประเด็นนี้ แลนดี้ โฮม ไม่ได้วิตกกังวลมากนัก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านโยบายดังกล่าวมีผลต่อการปรับขึ้นราคาบ้าน
“ประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ผมว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการช่วยแรงงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มที่มีภาระค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวไม่เพียงพอ ถือเป็นการช่วยพยุงให้แรงงานลืมตาอ้าปากได้ ในระดับหนึ่ง ในส่วนของบริษัทเอง เนื่องจากเรามีระบบการก่อสร้างแบบกึ่งสำเร็จรูป NOVA System ทำการผลิตชิ้นส่วนในโรงงานซึ่งจะได้มาตรฐานที่ดีกว่า จึงได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงน้อยกว่าบริษัทรับสร้างบ้านรายอื่น ส่วนกลยุทธ์การตลาดของแลนดี้ โฮม เรายังคงครองความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการสร้างบ้าน ชูจุดยืนบ้านปลอดแมลงสาบ (CP Design) ระบบการก่อสร้างกึ่งสำเร็จรูป NOVA System ที่ได้รับรองมาตรฐาน ISO 9001:2008 รายแรกของประเทศไทย และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าด้วยทุนจดทะเบียนสูงถึง 140 ล้านบาท ซึ่งในภาวการณ์เช่นนี้ ลูกค้าต้องมีความรอบคอบในการเลือกบริษัทรับสร้างบ้าน ทั้งในเรื่องของพื้นฐานความมั่นคงของบริษัทซึ่งดูได้จากทุนจดทะเบียน ชื่อเสียงของบริษัท ทีมงาน สถาปนิกและวิศวกร ผลงานที่ผ่านมาของบริษัทรับสร้างบ้าน สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การรับประกันผลงานและบริการหลังการขาย ควรสอบถามรายละเอียดว่าบริษัทนั้นรับประกันอะไรบ้าง อาทิ งานโครงสร้าง การรั่วซึมของหลังคา รอยร้าว เป็นต้น ในปัจจุบันบริษัทรับสร้างบ้านหลายบริษัทมีการรับประกันสูงสุดถึง 10 ปี และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นหลังจากส่งมอบแล้ว การเรียกทีมบริการหลังการขายของบริษัท ย่อมดีกว่าการเรียกช่างที่อื่นมาแก้ปัญหาอย่างแน่นอน” นายพิเชษฐ กล่าว