นายประมวล จันทร์พงษ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีมอบหลอดผอมเบอร์ 5 ให้กับจังหวัดเพชรบูรณ์ ว่า “กระทรวงพลังงานปรับเปลี่ยนหลอดไฟของศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นหลอดผอมเบอร์ 5 จำนวน 1,478 หลอด ซึ่งจะช่วยลดงบประมาณในการจ่ายค่าไฟฟ้าได้ถึง 200,000 บาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 34 ตันต่อปี อันจะเป็นตัวอย่างอาคารภาครัฐที่มีการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และลดภาวะโลกร้อน โอกาสนี้จึงขอความร่วมมือร่วมใจจากข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์ทุกท่าน ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี แก่อาคารอื่นๆ และประชาชนทั่วไปด้วย”
นายสุชาติ ราษฏร์ดุษดี ปลัดจังหวัดเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า “ปัจจุบันการใช้พลังงานในอาคารศาลากลางจังหวัดฯ ส่วนใหญ่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก โดยใน 2 ไตรมาสแรกของปี 2554 มีการใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 345,000 หน่วยต่อปี คิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 1,260,000 บาทต่อปี การดำเนินการเรื่องการประหยัดพลังงาน ที่ผ่านมาจังหวัดฯ ได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานของกระทรวงพลังงาน ได้แก่ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) และสำนักงานพลังงานจังหวัดเพชรบูรณ์ ในการเผยแพร่ความรู้ ในหลายๆ เรื่อง เช่น การใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด การจัดทำแผนพลังงานชุมชน เป็นต้น และยังได้รับความอนุเคราะห์จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เข้ามาปรับเปลี่ยนหลอดผอมแบบเดิมเป็นหลอดผอมเบอร์ 5 จำนวนประมาณ 1,478 หลอด ซึ่งเป็นหลอดที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้พลังงานต่ำ จากข้อมูลของทีมงาน กฟผ. ที่เข้ามาปรับเปลี่ยน พบว่า สามารถลดกำลังไฟฟ้าที่ใช้ในหลอดลงได้มากกว่าร้อยละ 30 เกิดผลประหยัดประมาณ 58,500 หน่อยต่อปี เป็นเงิน 200,000 บาทต่อปี นอกจากผลประหยัดที่ได้รับแล้ว หลอดผอมเบอร์ 5 ยังให้ความสว่างมากกว่าหลอดเดิมด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการ และประชาชนผู้มาติดต่อใช้บริการให้ดียิ่งขึ้น”
กระทรวงพลังงานจะปรับเปลี่ยนอุปกรณ์หลอดฟลูออเรสเซนต์เดิม เป็นหลอดผอมเบอร์ 5 ในอาคารภาครัฐ รวม 680 แห่ง นอกจากนี้ ยังจัดทำ “โครงการส่งเสริมและกำกับดูแลอาคารควบคุมภาครัฐ” เพื่อให้สนับสนุนและช่วยเหลืออาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอิสระ รวมประมาณ 800 แห่ง ให้สามารถดำเนินการอนุรักษ์พลังงานได้ถูกต้องและครบถ้วนตามกฎหมาย โดยคาดว่า หลังจากเสร็จสิ้นโครงการดังกล่าวแล้ว ในปี 2554 จะสามารถประหยัดพลังงานได้เทียบเท่าน้ำมันดิบประมาณ 25,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 620 ล้านบาทต่อปี และลดการปลดปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 147,000 ตันต่อปี