- ธุรกิจประกันภัยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมทั้งสิ้น 223,569 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 13.45 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีจำนวนกรมธรรม์ประกันภัยรวมทั้งสิ้น 39,518,278 ราย ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.61 เป็นจำนวนเงินเอาประกันภัยรวมทั้งสิ้น 45,100,929 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26.55 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 27.50
- ธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมทั้งสิ้น จำนวน 154,718 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.58 มีจำนวนกรมธรรม์ จำนวน 17,932,414 ราย ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 8.25 เป็นจำนวนเงินเอาประกันภัยเท่ากับ 7,667,639 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.56 จากการประกันภัยประเภทสามัญ ซึ่งได้แก่ การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ตลอดชีพ หรือแบบบำนาญ เป็นต้น ทั้งนี้เป็นผลเนื่องมากจากประชาชนเห็นความสำคัญของการประกันภัย รู้จักการออม มีการเตรียมความพร้อมสู่สังคมผู้สูงอายุในอนาคต
- ธุรกิจประกันวินาศภัยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมทั้งสิ้น จำนวน 68,851 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.44 มีกรมธรรม์ จำนวน 21,585,864 ราย ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.56 เป็นจำนวนเงินเอาประกันภัยเท่ากับ 37,433,290 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 29.06 โดยการประกันภัยเบ็ดเตล็ด ขยายตัวสูงสุดร้อยละ 19.15 เมื่อ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งได้แก่ การประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล การประกันสุขภาพ และความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม การประกันภัยรถยังคงครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึงร้อยละ 59.97 ของเบี้ยประกันภัยรวมทุกประเภท ทั้งนี้ เป็นผลเนื่องมาจากประชาชนดูแลและห่วงใยตัวเองมากขึ้น และเห็นถึงความสำคัญของการประกันภัยว่าเป็นหลักประกันความมั่นคงให้กับชีวิตและทรัพย์สินได้
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลดังกล่าว สัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 4.14 ดังนั้น หากเศรษฐกิจไทยยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าสิ้นปี 2554 ธุรกิจประกันภัยจะสามารถขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 16.23 และมีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อ GDP อยู่ที่ระดับ 4.67 ตรงตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 2 หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนประกันภัย 1186
ฝ่ายสื่อสารองค์กร
โทร.02-513-4680