นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการขายและการตลาด กล่าวว่า ภาวะตลาดตราสารหนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยที่นักลงทุนคาดหวังขยับสูงขึ้น จากค่าเงินบาทอ่อนตัวลง ถึงแม้มีความกังวลกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะในยูโรโซนที่แย่ลงอยู่ ทั้งนี้ ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นจำนวนมาก และอาจจะมีการขายสุทธิต่อไปได้อีก สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย บลจ.แอสเซท พลัส มองว่า กนง.น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่เกินหนึ่งครั้งภายในสิ้นปีนี้อีก 0.25% เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น และกระทบต้นทุนการผลิต ซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้น่าจะอยู่ไม่เกิน 3.75%
นอกจากนี้ ขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาออกหลักเกณฑ์กำกับดูแลการออกตั๋วแลกเงิน (B/E) โดยจะให้สถาบันการเงิน และธนาคารพาณิชย์นับรวมมูลค่าการออกตั๋ว B/E เข้ากับฐานเงินฝากเพื่อดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องขั้นต่ำ 6% เหมือนเงินฝาก ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางสภาพคล่องในระบบการเงิน ซึ่งหากกฎเกณฑ์ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จะส่งผลให้ผลตอบแทนของตั๋ว B/E ในช่วงต่อไปมีโอกาสปรับลดลง
“สำหรับการเสนอขายกองทุนในช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเน้นการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ โดยในวันที่ 22 กันยายน นี้ บริษัทฯ จะเปิดเสนอขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ (Rollover) กองทุนเปิดแอสเซทพลัสทวีทรัพย์ 3 (ASP-TFIXED3) ในรอบการลงทุนนี้ จะพิจารณาลงทุนในตั๋วเงินคลัง และตั๋วแลกเงิน (B/E) ในประเทศของธนาคารและบริษัทเอกชนต่างๆ เช่น ธนาคารธนชาต (TBANK) , ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) (ICBC Thai) , บมจ.แลนด์แอนด์เฮาส์ (LH) และ บมจ.ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น (TICON) มีรอบการลงทุนประมาณ 3 เดือน โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 3.40% ต่อปี* ผู้สนใจสามารถลงทุนด้วยมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท และผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้”นางสาวจารุลักษณ์
ผู้ลงทุนทั่วไป : Call Center 02-672-1111
สื่อมวลชน : ส่วนงานประชาสัมพันธ์
มุกพิม จุลพงศธร
โทร. 02-672-1000 ต่อ 3308
อีเมล์: [email protected]