นายประสาท เกศวพิทักษ์ ประธานกรรมการ AFET ชี้ว่า สินค้าเกษตรมีบทบาทสำคัญมากยิ่งขึ้น ล่าสุดในรอบ 7 เดือนของปีนี้ ภาพรวมการค้าและมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยมีการขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้นสูง 53.8% และสำหรับรายสินค้าที่มีการซื้อขายใน AFET เพิ่มสูงขึ้นมาก ข้าว ยาง มันสำปะหลัง เพิ่มสูง 110%, 69.3% และ 47.4% ตามลำดับ ทั้งนี้ AFET ในฐานะที่เป็นกลไกด้านเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรของประเทศ มีภารกิจหลักที่สำคัญและมีความพร้อมที่จะดำเนินการสานต่อนโยบายรัฐทั้งในด้านการยกระดับราคาสินค้า และดูแลเสถียรภาพของราคาที่เหมาะสม ซึ่งหมายถึงการที่เกษตรกรสามารถขายสินค้าเกษตรได้ในราคาที่สูงเพียงพอเมื่อเทียบกับต้นทุน
โดยที่ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้า การที่ไทยมีตลาดล่วงหน้าของเราเองทำให้การกดราคาของผู้ซื้อในตลาดล่วงหน้าเพื่อใช้เป็นราคาอ้างอิงในการตกลงซื้อขาย ไม่สามารถทำได้ง่าย ซึ่งเท่าที่ผ่านมา AFET มีบทบาทสำคัญในการยกระดับราคาสินค้าให้เหมาะสม และเป็นศูนย์กลางการซื้อขายสินค้าเกษตรและแหล่งอ้างอิงราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญแห่งหนึ่งของภูมิภาค ทำให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องสามารถนำราคาดังกล่าวไปใช้อ้างอิงและปรับโครงสร้างการผลิต ให้เป็นไปตามอุปสงค์และอุปทานของตลาดได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ราคาในตลาดมีเสถียรภาพ ดังจะเห็นได้จากราคาในตลาดล่วงหน้าในญี่ปุ่น (TOCOM) และตลาดล่วงหน้าในสิงค์โปร์ (SICOM) ในช่วงเช้าก่อนที่ AFET จะเปิดการซื้อขาย ราคาทั้ง 2 ตลาดจะค่อนข้างต่ำ และเมื่อ AFET เปิดทำการซื้อขาย ราคา TOCOM และ SICOM จะปรับตัวขนานกับ AFET ซึ่งผลจากการยกระดับราคาสินค้าจะทำให้เกิดประโยชน์ในทางมูลค่ามหาศาล เช่น ราคายางที่ขยับราคาสูงขึ้น เพียงกิโลกรัมละ 1 บาท กับปริมาณการส่งออกมากถึง 3 ล้านตัน ก็จะส่งผลมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะสะท้อนกลับสู่เกษตรกรซึ่งเป็นฐานรากของประเทศในที่สุด ในขณะเดียวกันถ้าเรามีการซื้อขายมันสำปะหลัง (ปริมาณการผลิตมันสำปะหลัง 27 ล้านตัน และข้าว (ปริมาณการผลิตข้าว 25 ล้านตัน) ได้เหมือนเช่นเดียวกับสินค้ายาง โดยหากยกระดับราคาได้จริงเพียง 50 สตางค์/กก. ก็จะทำให้รายได้เกษตรกรโดยรวมเพิ่มขึ้นถึง 27,500 ล้านบาท/ปี
นอกจากนี้รัฐบาลได้ดำเนินการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล ผ่านกลไกการซื้อขายล่วงหน้าของ AFET ในช่วงปี 2550 และ 2552 จำนวน 700,000 ตัน ซึ่งถือเป็นการซื้อขายที่โปร่งใส เป็นธรรม และเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องกับสินค้าข้าวทุกประเภทและทุกระดับสามารถเข้ามาแข่งขันกันกำหนดราคาได้ จากผลการดำเนินการดังกล่าวปรากฎว่า ราคาซื้อขายข้าวใน AFET มีราคาสูงกว่าราคาในตลาดข้าวปกติประมาณ 2.48% คิดเป็นมูลค่าข้าวที่เพิ่มขึ้น 134 ล้านบาทโดยประมาณ สำหรับนโยบายรัฐบาลในปีนี้ที่จะมีการรับจำนำข้าว จำนวนทั้งสิ้น 25 ล้านตัน และมีนโยบายในการระบายข้าวผ่านกลไก AFET นั้น AFET ได้กำหนดแผนงานอย่างเร่งด่วนเพื่อรองรับโครงการรับจำนำข้าวของรัฐที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ 7 ตุลาคม 2554 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เป็นที่น่ายินดีที่ภาครัฐและองค์กรผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหลายฝ่ายต่างตอบรับและให้ข้อเสนอแนะให้มีการใช้กลไกการซื้อขายและส่งมอบสินค้าของ AFET เข้ามาสานต่อนโยบายรัฐบาลในเรื่องดังกล่าว โดยเน้นถึงความโปร่งใส ความเป็นธรรม และความเชื่อมั่น กลไกการซื้อขายการชำระราคาและส่งมอบที่รองรับที่มีมาตรฐานเป็นที่เชื่อถือได้ของผู้เกี่ยวข้องกับสินค้า ซึ่งสอดคล้องกับแนวยุทธศาสตร์ของ AFET เองที่เน้นในเรื่องยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านอาหาร หรือ Food Security และให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการซื้อขายล่วงหน้าสินค้าเกษตรและอาหารของภูมิภาคอย่างแท้จริง