นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยผลการหารือร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัย และสมาคมประกันชีวิตไทย วางมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในหลายจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลางที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งจากข้อมูลของศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) ณ วันที่ 17 ตุลาคม 2554 พบว่ามีผู้เสียชีวิต 307 ราย และสูญหาย 3 คน โดยได้รับแจ้งในเบื้องต้นว่ามีการทำประกันชีวิตและประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล จำนวน 40 ราย รวมค่าสินไหมทดแทน จำนวน 10,791,103 บาท
สำหรับนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานีที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมและบางแห่งที่อยู่ในภาวะเสี่ยงภัย รวม 7 นิคมอุตสาหกรรม สำนักงาน คปภ.ได้สำรวจข้อมูลการทำประกันภัย ดังนี้
นิคมอุตสาหกรรม จังหวัด การประกันภัยทรัพย์สิน การประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก
จำนวน ผู้เอาประกันภัย (ราย) จำนวนเงิน เอาประกันภัย จำนวน ผู้เอาประกันภัย (ราย) จำนวนเงิน เอาประกันภัย
(ล้านบาท) (ล้านบาท)
1. สหรัตนนคร พระนครศรี อยุธยา 57 15,828 2 200
2. โรจนะ 241 108,014 4 1,135
3. HI-Tech 73 43,173 8 1,439
4. บางปะอิน 156 90,078 7 1,702
5. แฟคตอรี่แลนด์ 58 505 - -
6. นวนคร ปทุมธานี 235 118,867 6 2,259
7. บางกระดี 106 80,318 3 453
รวม 926 456,783 30 7,188
โดยนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำเข้าท่วมแล้ว 6 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ นิคมอุตสาหกรรม HI-Tech นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน เขตประกอบอุตสาหกรรมแฟคตอร์รี่แลนด์ และนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินความเสียหาย ซึ่งมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงจะทราบได้ภายหลังน้ำลด อย่างไรก็ตามจากการประเมินในเบื้องต้นคาดว่าความเสียหายทั้งหมดประมาณ 100,000 ล้านบาท และจากการสำรวจข้อมูลการทำประกันภัยทรัพย์สินของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี ปทุมธานี และนนทบุรี พบว่ามีการทำประกันภัยทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยรายย่อย จำนวน 48,087 ราย รวมเงินเอาประกันภัยจำนวน 56,471,559,117 บาท
ทั้งนี้ มาตรการเร่งด่วนที่บริษัทประกันภัยได้ดำเนินการทันทีในขณะนี้คือการตรวจสอบข้อมูลลูกค้าในพื้นที่ประสบอุทกภัยเพื่อเข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยก่อนเกิดความสูญเสีย โดยไม่ต้องรอให้ผู้เอาประกันภัยเป็นผู้แจ้งเหตุ โดยบริษัทประกันภัยร่วมกับผู้ประกอบการได้เข้าไปเคลื่อนย้ายเครื่องจักรบางส่วนที่สามารถถอดชิ้นส่วนได้ออกไปเก็บในที่ปลอดภัย ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วกับนิคมอุตสาหกรรม นวนคร ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์น้ำเข้าท่วม รวมถึงกำลังเร่งดำเนินการในนิคมอุตสาหกรรมบางกระดีที่ยังอยู่ในภาวะเสี่ยงภัย
เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่าสำนักงาน คปภ.ตระหนักถึงผลกระทบของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตและการจ้างงาน รวมถึงบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชน ซึ่งคาดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจในประเทศไประยะหนึ่ง ดังนั้นเพื่อเป็นการลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และเป็นการช่วยเหลือให้บริษัทประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้รวดเร็ว สำนักงาน คปภ. จึงมีนโยบายในการผ่อนปรนหลักเกณฑ์ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการประเมินความเสียหาย เช่น การพิจารณาเรื่องคุณสมบัติของผู้ประเมินวินาศภัย (Surveyor) เพื่อให้บริษัทประกันภัยสามารถนำผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามาเป็นผู้ประเมินความเสียหายได้ทันที ซึ่งมาตรการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยให้บริษัทประกันภัยมีความสะดวกในการประเมินความเสียหายและทำให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยได้รวดเร็วมากขึ้น หากมีข้อสงสัยสอบถามสายด่วนประกันภัย 1186
ฝ่ายสื่อสารองค์กร
โทร . 02-513 -1769 02-513-1680