- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.88
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานลดลงเป็นร้อยละ 40.0
ธนาคารกรุงเทพรายงานผลการดำเนินงานของธนาคารและบริษัทย่อยในไตรมาส 3 ปี 2554 ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ 7,551 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,377 ล้านบาท หรือร้อยละ 22.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 จำนวน 21,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,482 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.1 จากช่วงเดียวกันของปี 2553
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานของธนาคารที่ดีในไตรมาส 3 เป็นผลมาจากปัจจัยที่เอื้ออำนวยหลายประการ ทั้งการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์มีราคาสูงขึ้นและภาคอุตสาหกรรมต้องเร่งเพิ่มกำลังการผลิตหลังจากได้รับผลกระทบจากการจัดหาวัตถุดิบที่ชะงักไปในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ความต้องการเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น”
“ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และความจำเป็นของภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ประกอบกับการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้มีความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุน” นายชาติศิริกล่าว
“การที่ธนาคารกรุงเทพเป็นผู้นำในตลาดสินเชื่อสำหรับบริษัทขนาดใหญ่และธุรกิจเอสเอ็มอี ทำให้ธนาคารได้ประโยชน์จากความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าธุรกิจทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าว โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ เงินให้สินเชื่อของธนาคารเพิ่มขึ้นจำนวน 144,790 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.5 จากวันที่ 31 ธันวาคม 2553 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1 จากวันที่ 30 กันยายน 2553 ซึ่งสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความต้องการของบริษัทขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในขณะที่สินเชื่อสำหรับลูกค้าบุคคลก็เพิ่มขึ้นด้วยเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปีนี้”
การบริหารความเสี่ยงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ธนาคารยังคงให้ความสำคัญ ส่งผลให้คุณภาพของเงินให้สินเชื่อของธนาคารอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ลดลงเหลือ 42,024 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.8 ของสินเชื่อรวม เทียบกับ 45,588 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.0 ณ สิ้นปี 2553
ธนาคารยังคงนโยบายการบริหารกิจการอย่างรอบคอบเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้นในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ธนาคารจึงตั้งสำรองค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญอีกจำนวน 4,982 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 158.9 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 เป็นร้อยละ 184.5
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ธนาคารมีเงินฝากจำนวน 1,533,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 139,555 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.0 จากสิ้นเดือนธันวาคม 2553 การที่ธนาคารสามารถระดมเงินฝากได้เพิ่มขึ้นท่ามกลางการแข่งขัน เกิดจากการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า ตลอดจนการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากที่ตรงกับความต้องการของผู้ฝากเงิน เงินฝากที่เพิ่มขึ้นทำให้ธนาคารสามารถรักษาสภาพคล่องในระดับที่เหมาะสม และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินฝากทรงตัวที่ร้อยละ 91.3
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและการขยายสินเชื่อ โดยในไตรมาส 3 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 2.88 เทียบกับร้อยละ 2.76 และ 2.55 ในไตรมาส 2 และไตรมาส 1 ตามลำดับ
ในไตรมาส 3 นี้ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 13,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,287 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.8 และมีรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ 4,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว
เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2553 ธนาคารมีรายได้รวมจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 เป็น 21,357 ล้านบาท ในขณะที่มีค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 เป็น 8,553 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานในไตรมาสนี้ลดลงจากร้อยละ 41.0 เป็นร้อยละ 40.0
ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษีเงินได้จำนวน 11,119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,888 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.5 จากไตรมาส 3 ปี 2553 และเพิ่มขึ้น 1,019 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.1 จากไตรมาสก่อนหน้า
ธนาคารมีการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับปี 2554 เพิ่มขึ้นเป็น 2.0 บาทต่อหุ้น เทียบกับ 1.5 บาทต่อหุ้นของช่วงเดียวกันปีก่อน สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่งของธนาคาร หากนับรวมกำไรของไตรมาส 3 เข้าเป็นเงินกองทุน อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นและเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ประมาณร้อยละ 16.6 และร้อยละ 13.2 ตามลำดับ
ส่วนของเจ้าของ ณ วันที่ 30 กันยายน 2554 มีจำนวน 233,608 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11.6 ของสินทรัพย์รวมและมูลค่าหุ้นตามบัญชีเท่ากับ 122.4 บาทต่อหุ้น
“ภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 4 คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศในขณะนี้ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีพของประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจในพื้นที่ประสบภัยโดยตรงและผู้ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม ธนาคารได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และมีความมุ่งมั่นที่จะให้ความช่วยเหลือลูกค้าและชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ด้วยมาตรการผ่อนปรนด้านสินเชื่อและการสนับสนุนเพื่อฟื้นฟู ทั้งในส่วนที่เป็นการให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้าและการออกมาตรการช่วยเหลือในระยะต่อไปด้วย” นายชาติศิริกล่าว