ฟรอสต์แอนด์ ซัลลิแวน องค์กรให้คำปรึกษาและวิจัยระดับโลกได้จัดทำโมเดลจำลองการกักตุนเสบียงของคนกรุงเทพฯ โดยยกการสมมุติจากหนึ่งร้านค้า ซึ่งมีปริมาณเสบียง 100 ชุด แต่ละชุดสำหรับ 1 คนใช้บริโภค ต่อ 1 วัน และตอบสนองอุปสงค์ (demand) ที่ 100% ใน 100 คน จากสมมุติฐานนี้ แตกออกเป็น 3 กรณี (ดูภาพโมเดลประกอบ) คือ
กรณีที่หนึ่ง หากผู้ซื้อทุกคนพร้อมใจกันสำรองเสบียงเป็นระยะเวลา 2 วัน ทางร้านค้าจะมีความสามารถรองรับผู้ซื้อได้ 50 คน หรือคิดเป็น 50% ของอุปสงค์ ซึ่งทางร้านจะต้องเพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานเป็น 2 เท่า เพื่อให้ตอบสนองความต้องการได้ครบ 100% การขาดแคลนเสบียงในกรณีนี้ อาจเกิดขึ้นบ้างเป็นเวลา 2-5 วัน ขึ้นอยู่กับกระบวนการจัดการของแต่ละผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ดี เนื่องจากอุทกภัยได้ทำให้เส้นทางการขนส่งบางเส้นถูกตัดขาดหรือติดขัด ฉะนั้นภาวะขาดแคลนอาจมีได้ถึง 10 วัน
กรณีที่สอง หากผู้ซื้อทุกคนพร้อมใจกันสำรองเสบียงเป็นระยะเวลา 10 วัน ทางร้านค้าจะมีความสามารถรองรับผู้ซื้อได้ 10 คน หรือคิดเป็น 10% ของอุปสงค์ ซึ่งการเพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้มากขึ้นเป็น 10 เท่านั้นถือเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกี่ยวข้องกับการวางแผนการผลิต ย่อมต้องใช้เวลาพอสมควร เพื่อให้ตอบสนองความต้องการได้ครบ 100% การขาดแคลนเสบียงในกรณีนี้ จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เป็นช่วงระยะเวลา 10-15 วัน อย่างไรก็ดี เนื่องจากอุทกภัยได้ทำให้เส้นทางการขนส่งบางเส้นถูกตัดขาดหรือติดขัด ฉะนั้นภาวะขาดแคลนอาจมีได้ถึง 30 วัน หรือ 1 เดือน
กรณีสุดท้าย ถือเป็นกรณีเลวร้ายที่สุด แต่ในความเป็นจริงได้เกิดขึ้นแล้วในหลายแห่ง กล่าวคือ หากผู้ซื้อทุกคนพร้อมใจกันสำรองเสบียงเป็นระยะเวลา 1 เดือนเต็ม ทางร้านค้าจะมีความสามารถรองรับผู้ซื้อได้เพียง 3 คน หรือคิดเป็น 3.3% ของอุปสงค์ และต้องเพิ่มขีดความสามารถให้มากขึ้น อย่างต่ำเป็น 30 เท่าของที่มีอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นสภาวะขาดแคลนอย่างหนักจะเกิดขึ้นแน่นอน เป็นระยะเวลาขั้นต่ำ 1 เดือน หรือมากกว่า อย่างไรก็ดี เนื่องจากอุทกภัยได้ทำให้เส้นทางการขนส่งบางเส้นถูกตัดขาดหรือติดขัด ฉะนั้นภาวะขาดแคลนอาจมีได้ถึง 3 เดือน
“ในภาวะเช่นนี้ รัฐบาลไม่ควรนิ่งดูดาย หรือ ใช้วิธีการบริหารจัดการแบบ Reactive เหมือนที่เป็นมา โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการ รัฐบาลสามารถใช้วิธี Proactive ได้ อย่างเช่นกรณีการขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นเรื่องของการจัดการความสมดุลย์ของอุปสงค์และอุปทาน จึงควรดำเนินการอย่างจริงจัง โดยใช้แนวทางจากการร่วมมือของทุกฝ่าย ให้สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน โดยไม่มีการแบ่งมาตรฐาน เพื่อความเท่าเทียมและความอยู่รอดของทุกคน” ดร. มนธ์สินีกล่าวทิ้งท้าย