ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บ. กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส” ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “Stable”

ศุกร์ ๐๔ พฤศจิกายน ๒๐๑๑ ๑๕:๑๙
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน)

ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารของบริษัทที่มีประสบการณ์ในธุรกิจรถเช่า ความสามารถในการรักษาสถานะทางการตลาดในภาวะที่การแข่งขันทวีความรุนแรง ความสามารถในการทำกำไรที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง และการจัดการความเสี่ยงจากการขายซากรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพซึ่งปรากฏเป็นกำไรจากการขายสินทรัพย์ให้เช่าที่มีอย่างต่อเนื่อง ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงสภาพคล่องทางการเงินซึ่งสนับสนุนโดยกระแสเงินสดของบริษัทที่มีความแน่นอนจากการมีรายได้จากสัญญาเช่าที่ส่วนใหญ่เป็นสัญญาเช่าระยะยาวด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากการแข่งขันที่รุนแรงและความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้ารายใหญ่แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะมีการกระจายตัวที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นในบริการรถเช่าดำเนินงานที่จัดจ้างจากภายนอกของธุรกิจต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมายังคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตอุทกภัย โดยการขาดแคลนรถยนต์สำหรับส่งมอบจากปัญหาการผลิตที่เกิดจากอุทกภัยอาจเป็นปัจจัยที่ชะลอการขยายฐานรถยนต์ให้เช่าของบริษัทในระยะสั้น ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถดำรงสถานะทางการตลาดได้ต่อไปด้วยการรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่ท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง และคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรโดยการควบคุมต้นทุนและมีกำไรที่ต่อเนื่องจากการขายสินทรัพย์ให้เช่า ผลกระทบจากวิกฤตอุทกภัยในขณะนี้จะอยู่ในวงจำกัดในระยะสั้นและไม่กระทบกับผลประกอบการโดยรวมของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทกรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส ให้บริการรถยนต์เช่าดำเนินงานทั้งแบบระยะยาวและระยะสั้น เมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์ให้เช่าสุทธิ บริษัทถือเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่อันดับ 3 จากจำนวนผู้ให้บริการ 30 รายในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง หลังจากการปรับโครงสร้างเงินทุนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปลายปี 2548 สินทรัพย์ให้เช่าสุทธิของบริษัทก็เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า จาก 1,283 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 2,977 ล้านบาทในปี 2552 สินทรัพย์ให้เช่าสุทธิของบริษัทอยู่ในระดับประมาณ 3,000 ล้านบาทมาตั้งแต่ปี 2552 ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 สินทรัพย์ให้เช่าสุทธิอยู่ที่ระดับ 2,885 ล้านบาท รายได้จากการให้เช่ารถยนต์แบบระยะยาวคิดเป็นอัตราส่วน 95% ของรายได้ค่าเช่ารวมและคิดเป็น 60% ของรายได้รวม ณ สิ้นปี 2553 บริษัทมีรถยนต์ให้เช่า 6,568 คัน เพิ่มขึ้นจาก 5,597 คันในปี 2552 โดย 95% ของจำนวนรถยนต์นั้นให้บริการภายใต้สัญญาเช่าระยะยาว และส่วนที่เหลือเป็นรถให้เช่าระยะสั้นและรถทดแทน

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ความสามารถในการหาลูกค้าใหม่และการรักษาฐานลูกค้าปัจจุบันเป็นสิ่งท้าทายสำหรับบริษัทกรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส ในช่วงที่คู่แข่งดำเนินกลยุทธ์การแข่งขันด้านราคา อย่างไรก็ตาม ความต้องการใช้บริการรถเช่า

ที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยสนับสนุนความพยายามในการรักษาฐานธุรกิจของบริษัทเนื่องจากหน่วยงานต่าง ๆ เริ่มตระหนักถึงประโยชน์จากการใช้บริการรถเช่ามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2553 ยังเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถขยายขนาดสินทรัพย์ให้เช่าทั้งในส่วนของการทดแทนสัญญาเช่าที่หมดอายุและการขยายจำนวนรถยนต์ให้เช่าที่เพิ่มขึ้นทั้งจากลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ วิกฤตอุทกภัยในขณะนี้คาดว่าจะกระทบต่อธุรกิจของบริษัทในระยะสั้นจากปัญหาความต้องการที่ลดลงและการขาดแคลนรถยนต์ใหม่สำหรับส่งมอบอันเกิดจากปัญหาการผลิตและขนส่ง ทริสเรทติ้งเชื่อว่าการกระจายตัวของฐานลูกค้าที่มากขึ้นจะช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมสถานการณ์จากผลกระทบที่เกิดจากวิกฤตอุทกภัยได้

บริษัทกรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีสมีความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีความร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทที่เกี่ยวข้อง บริษัทจัดซื้อรถยนต์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ให้เช่าในสัดส่วนมากกว่า 60% ของรถยนต์ที่จัดซื้อทั้งปีผ่านตัวแทนจำหน่ายซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่คือตระกูลจันทรเสรีกุลเป็นเจ้าของ การจัดซื้อรถยนต์จากตัวแทนจำหน่ายของผู้ถือหุ้นใหญ่ทำให้บริษัทได้ประโยชน์ด้านข้อมูลเกี่ยวกับข้อเสนอพิเศษจากผู้ผลิตรถยนต์ซึ่งช่วยให้บริษัทจัดซื้อรถยนต์ให้เช่าในราคาที่ต่ำกว่า และนอกจากการมีศูนย์บริการทั่วประเทศกว่า 750 แห่งซึ่งบริษัททำสัญญาทางธุรกิจด้วยแล้ว บริษัทยังเป็นเจ้าของศูนย์บริการของตนเองซึ่งทำให้สามารถควบคุมต้นทุนการบำรุงรักษาที่ไม่จำเป็นอันอาจเกิดจากศูนย์บริการภายนอกด้วย บริษัทจัดจำหน่ายรถยนต์ให้เช่าซึ่งหมดสัญญาเช่ากับลูกค้าแล้วผ่านทางบริษัทลูกคือ บริษัท กรุงไทย ออโตโมบิล จำกัด ด้วยประสบการณ์ของผู้บริหารของบริษัทกรุงไทย ออโตโมบิล และการได้รับการรับรองคุณภาพรถยนต์ใช้แล้วภายใต้ “โครงการโตโยต้าชัวร์” ช่วยให้บริษัทสามารถจำหน่ายรถยนต์ให้เช่าที่หมดอายุสัญญาในราคาที่สูงกว่าการจำหน่ายผ่านตัวแทนรับประมูลทั่วไป บริษัทมีกำไรจากการขายรถยนต์ที่หมดสัญญาเช่าอย่างต่อเนื่อง ในเดือนกันยายน 2554 บริษัทกรุงไทย ออโตโยบิลได้เปิดสาขาที่ถนนศรีนครินทร์ โดยสาขาที่ 2 ของบริษัทนี้คาดว่าจะสามารถเข้าถึงและขยายฐานลูกค้าในด้านตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ สัดส่วนกำไรจากธุรกิจการขายรถยนต์มือสองจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

บริษัทได้เปลี่ยนวิธีการตัดค่าเสื่อมราคาในปี 2554 โดยมีการประเมินค่าซากที่ระดับ 23% ของมูลค่าสินทรัพย์แทนนโยบายเดิมที่ตัดค่าเสื่อมราคาโดยไม่มีค่าซาก อย่างไรก็ตาม วิธีการตัดค่าเสื่อมราคาใหม่นี้ไม่กระทบกับผลประกอบการของบริษัทเนื่องจากอายุการใช้งานของสินทรัพย์ได้มีการปรับลดลงจาก 6.5 ปี เป็น 5 ปี ดังนั้น ค่าเสื่อมราคาในแต่ละปีของสินทรัพย์ให้เช่าตลอดอายุสัญญาจะยังคงเดิมเหมือนกับที่เคยใช้วิธีการเดิมแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการประเมินอายุการใช้งานและค่าซากแล้วก็ตาม ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันของสัญญาให้เช่า ค่าเสื่อมราคาของบริษัทมักจะสูงกว่าผู้ประกอบการรายอื่นที่ใช้การประเมินราคาตลาด ณ วันที่หมดสัญญาเช่าเป็นค่าซากในการคำนวณค่าเสื่อมราคา กำไรขั้นต้นจากธุรกิจให้เช่ารถยนต์ลดลงจาก 26.7% ในปี 2549 เป็น 19.2% ในปี 2552 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแข่งขันที่รุนแรงผนวกกับผลกระทบจากนโยบายค่าเสื่อมราคาแบบอนุรักษ์นิยมในช่วงการขยายธุรกิจในปี 2549-2552 บริษัทมีกำไรขั้นต้นลดลงเป็น 16.5% ในปี 2553 แต่เพิ่มขึ้นเป็น 19.7% สำหรับครึ่งแรกของปี 2554 นโยบายค่าเสื่อมราคาแบบอนุรักษ์นิยมจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทเมื่อมีการจำหน่ายสินทรัพย์ให้เช่าที่หมดอายุสัญญาแล้ว โดยจะสะท้อนในกำไรจากการขายสินทรัพย์ให้เช่า ทั้งนี้ การควบคุมต้นทุนการดำเนินงานและกำไรที่ได้รับเพิ่มจากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มือสองยังช่วยเสริมความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

ในปี 2553 บริษัทมีกำไรสุทธิ 346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จาก 268 ล้านบาทในปี 2552 กำไรสุทธิสำหรับครึ่งแรกของปี 2554 เท่ากับ 173 ล้านบาท อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 18.6% ในปี 2553 จาก 16.3% ในปี 2552 ก่อนที่จะลดลงเป็น 17.8% สำหรับครึ่งแรกของปี 2554 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 9.7% ในปี 2553 จาก 7.7% ในปี 2552 อัตราส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นเป็น 9.6% สำหรับผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2554 ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง บริษัทมีฐานะสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินในระดับปานกลาง โดยมีสภาพคล่องที่เพียงพอที่ได้รับจากค่าเช่าอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ลักษณะของสินทรัพย์ให้เช่าซึ่งมีสภาพคล่องสูงในการจำหน่ายจะช่วยลดทอนความเสี่ยงด้านสภาพคล่องให้แก่บริษัทได้บางส่วน ทริสเรทติ้งกล่าว

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๕ พ.ย. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป เปิดตัว HOP NextGen ชวนนักศึกษาเยี่ยมชม ฮ็อป อินน์ เรียนรู้เทคนิคบริการแบบ Consistency is Yours พร้อมพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่
๑๕ พ.ย. คิง เพาเวอร์ ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี เปิดแคมเปญ THE POWER OF FUNTASTIC CELEBRATION 2025 ฉลองทุกความสุข สนุกไม่รู้จบ
๑๕ พ.ย. พันธุ์ไทย ชวนแฟนด้อม คัลแลนและพี่จอง จุ่ม การ์ดพันธุ์ไทยใจฟู ลิมิเต็ด อิดิชั่น
๑๕ พ.ย. BAM ทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ DIGITAL ENTERPRISE ตอกย้ำผู้นำ AMC ยุค 4.0 วางเป้าหมายยกระดับองค์กรสร้างโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน เตรียมส่ง อิสระ เดอะซีรีส์ ชวนลูกหนี้ BAM
๑๕ พ.ย. บางจากฯ ได้รับการประเมินด้านความยั่งยืนอันดับสูงสุดของโลก จาก SP Global 2024 ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil Gas Refinery and
๑๔ พ.ย. ซีเอเค อินเตอร์เนชั่นแนล ออกบูธให้ความรู้เรื่องการใช้งานระบบดับเพลิงนร. พระหฤทัยนนทบุรี
๑๒ พ.ย. พนักงานซีเอเค อินเตอร์เนชั่นแนล รับรางวัลเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานดีเด่น
๑๕ พ.ย. PROSPECT REIT ชูไตรมาส 3/67 โตเกินเป้า อัตราการเช่าพุ่งนิวไฮ หนุนจ่ายปันผลเด่น 0.2160 บาท
๑๕ พ.ย. CHAO ประกาศงบ Q3/67 กำไรพุ่งกว่า 62% รับตลาดส่งออกพีค จีนโตเด่น แย้ม Q4 เดินหน้าบุกตลาดในประเทศ สินค้าใหม่หนุนยอดขายปลายปี
๑๕ พ.ย. ฉลองเทศกาลลอยกระทงประจำปี 2567 ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ